Stellantis ผู้ผลิตรถยนต์ที่มียอดขายเป็นอันดับที่ 3 ของโลก เชื่อรถเครื่องยนต์สันดาปภายในจะวิ่งอยู่บนท้องถนนไปจนถึงปี 2050 ทำให้บริษัทต้องเดินหน้าดูแลรถยนต์กลุ่มดังกล่าวเช่นเดิม แม้จะมีแผนจำหน่ายแต่รถยนต์ไฟฟ้าล้วน หรือ BEV ในกลุ่มประเทศยุโรปตั้งแต่ปี 2030 เป็นต้นไป
รถยนต์สันดาปยังวิ่งได้อีกกว่า 20 ปี
Christian Mueller ผู้อำนวยการอาวุโสกลุ่มงานระบบขับเคลื่อน ของ Stellanits ในภูมิภาค EMEA แจ้งว่า รถเครื่องยนต์สันดาปภายในที่จำหน่ายโดย Stellantis ตั้งแต่ปัจจุบัน จนถึงปี 2029 จะวิ่งอยู่บนท้องถนนได้จนถึงปี 2050 หรืออีกกว่า 20 ปีหลังจากนี้ โดยจำนวนดังกล่าวคิดเป็น 25% ของรถยนต์ที่บริษัทจำหน่าย
เหตุผลหลักของเรื่องดังกล่าวคือ Stellantis มีการประกาศความร่วมมือกับ Saudi Aramco บริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่จากประเทศซาอุดีอาระเบีย เพื่อทำให้รถเครื่องยนต์สันดาป 24 รุ่นในกลุ่มประเทศยุโรปที่ผลิตตั้งแต่ปี 2014 ของแบรนด์ สามารถใช้งานเชื้อเพลิงประเภท E-fuel โดยไม่ต้องปรับปรุงเครื่องยนต์ และระบบส่งกำลังใด ๆ
Stellantis คาดการณ์ว่า รถเครื่องยนต์สันดาปที่รองรับการใช้เชื้อเพลิง E-fuel มีวิ่งอยู่ในยุโรปในปัจจุบันกว่า 29 ล้านคัน และหากรถยนต์กลุ่มนี้ใช้เชื้อเพลิงดังกล่าวจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กว่า 400 ตัน แต่ถึงอย่างไร Stellantis ยังคงแผนจำหน่ายแต่รถยนต์ไฟฟ้าล้วน หรือ BEV ตั้งแต่ปี 2030 เป็นต้นไปเช่นเดิม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สหภาพยุโรปมีมาตรการให้ผู้ผลิตรถยนต์ยุติการจำหน่ายรถยนต์ที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตั้งแต่ปี 2035 เป็นต้นไป แต่ยกเว้นให้รถเครื่องยนต์สันดาปภายในที่ใช้เชื้อเพลิง E-Fuel ที่สามารถยกเลิกทำตลาดต่อไปจากระยะเวลาดังกล่าวได้
E-Fuel เป็นเชื้อเพลิงที่ไม่พึ่งพาน้ำมันเชื้อเพลิงจากน้ำมันดิบ ผลิตขึ้นจากการสังเคราะห์คาร์บอนไดออกไซด์ และไฮโดรเจน รวมถึงใช้พลังงานหมุนเวียนในการผลิต ทั้งไม่ทำให้รถเครื่องยนต์สันดาปภายในสร้างมลพิษได้เหมือนกับการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงดั้งเดิม
อย่างไรก็ตาม ความจำเป็นในการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิต ทำให้ราคาของ E-fuel ค่อนข้างสูง และถูกหลายคนมองว่าจะเป็นเพียงทางเลือกหนึ่งในระยะสั้นเท่านั้น แต่ถึงอย่างไร Saudi Aramco จะเตรียมเดินหน้าเรื่องนี้เต็มที่ โดยในปี 2025 จะเปิดโรงงานต้นแบบเพื่อผลิตเชื้อเพลิงดังกล่าวที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย และสเปน
อ้างอิง // Stellantis, Reuters