UNGCNT-กรมคุ้มครองสิทธิฯ-UNDP จัดเวทีด้านสิทธิมนุษยชน ชู Digital Transformation สู่ธุรกิจยั่งยืน

สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (UNGCNT) ร่วมกับกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม สำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ ประจำประเทศไทย (UNDP Thailand) จัดการประชุมระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ครั้งที่ 7 ภายใต้ประเด็น “เปิดรับการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลสู่ธุรกิจที่ยั่งยืน”

นายเรืองศักดิ์ สุวารี อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กล่าวเปิดการประชุมครั้งนี้ว่า รัฐบาลให้ความสำคัญ กับประเด็นธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนและได้ร่วมกับทุกภาคส่วนจัดทำแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน และคณะรัฐมนตรีได้มีมติรับทราบแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ระยะที่ 2 (พ.ศ.2566 – 2570) โดยได้กำหนดประเด็น การเพิ่มทักษะแรงงานให้สามารถเข้าถึงและใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มมูลค่าแรงงาน และความสามารถการแข่งขันเป็นสิ่งที่รัฐต้องส่งเสริม และทุกภาคส่วนต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการเร่งแก้ไข

“บริษัทจะต้องกำหนดเป้าหมายโดยการนำเทคโนโลยีมาขับเคลื่อนธุรกิจให้ยั่งยืนและสามารถบรรเทาผลกระทบเชิงลบที่อาจจะเกิดขึ้นได้ด้วย” นายเรืองศักดิ์กล่าว

ด้านนายเรโนลด์ เมเยอร์ ผู้แทนโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทยกล่าวว่าแม้ว่าเทคโนโลยีจะสามารถเพิ่มขีดความสามารถให้กับบุคคลและส่งเสริมนวัตกรรม แต่ปัจจุบันไทยกำลังเผชิญกับข้อจำกัดในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตการสอดแนมทางดิจิทัล ภัยคุกคามต่อความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยและการเซ็นเซอร์ออนไลน์ ขณะนี้ การกระทำที่เสี่ยงที่สุดก็คือการเผยแพร่ข้อมูลและแสดงความคิดเห็นทางออนไลน์รวมถึงการเผยแพร่หลักฐานการละเมิดสิทธิมนุษยชนในสื่อภารกิจของภาครัฐและความรับผิดชอบของภาคเอกชนในขณะนื้จึงต้องส่งเสริมสิทธิมนุษยชนให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงและมาตรฐานสากล

“คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนและสมัชชาใหญ่ยืนยันว่า สิทธิแบบเดียวกับที่ผู้คนมีในโลกออฟไลน์จะต้องได้รับการคุ้มครองในโลกออนไลน์ด้วย” นายเรโนลด์ กล่าว

ส่วน ดร. เนติธร ประดิษฐ์สาร เลขาธิการและกรรมการบริหาร UNGCNT กล่าวถึงการขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจที่มีความรับผิดชอบและส่งเสริมการคุ้มครอง สิทธิมนุษยชนของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีดิจิทัล ในหลายประเด็น ได้แก่ การลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำ โดยส่งเสริมการเข้าถึงการศึกษาและบริการสาธารณสุขของแรงงาน การพัฒนาทักษะแรงงาน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง การยุติภัยคุกคาม ทั้งทางกายภาพและโลกออนไลน์ การลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากการผลิตด้วยเทคโนโลยี และการสร้างความโปร่งใสและความผิดชอบทั้งในแง่การตรวจสอบย้อนกลับและการรายงานผลการดำเนินงาน

“ในอีก 5 ปีโครงสร้างตลาดแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนผ่านด้านดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียว จะเปลี่ยนสูงถึงร้อยละ 23 ของตำแหน่งงาน ดังนั้น ภายในปี2570 แรงงาน 6 ใน 10 คน ต้องได้รับการฝึกอบรมทักษะดิจิทัลที่จำเป็น” ดร. เนติธร กล่าว

หลังพิธิเปิด มีการบรรยายหัวข้อ “แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยสู่สังคมดิจิทัลกับการดำเนินธุรกิจที่มีความรับผิดชอบอย่างยั่งยืน” โดย ดร.เสรี นนทสูติ กรรมการสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมและรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาองค์กรภาครัฐ ได้นำเสนอว่าปัจจุบัน ผู้คนเข้าถึงแพล็ตฟอร์มดิจิทัลมากขึ้นภาคธุรกิจจึงควรให้ความสำคัญกับประเด็นสิทธิมนุษยชนโดยสามารถดำเนินงานตามหลักการชี้แนะว่าด้วยสิทธิมนุษยชนของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNGP : UN Guiding Principles on Business on Human Rights) ซึ่งมี 5 เครื่องมือที่ชัดเจน ประกอบด้วย การประเมินความเสี่ยงและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชน การประกาศนโยบายระดับองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน การเยียวยา แก้ไข และป้องกันผลกระทบ การมีกลไกการร้องทุกข์สำหรับผู้ได้รับผลกระทบ และการเปิดเผยข้อมูลการดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชน พร้อมทั้งรายงานผลการดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชนต่อสาธารณชนโดยให้เป็นส่วนหนึ่งของรายการความยั่งยืนประจำปี

นอกจากนี้ ดร. เสรียังได้นำเสนอแนวคิดความรับผิดชอบด้านดิจิทัลขององค์กร หรือ Corporate Digital Responsibility เพื่อให้ภาคธุรกิจนำไปประยุกต์ใช้ ประกอบด้วย ด้านสังคม(social) การตรวจสอบว่ามีการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลให้กับพนักงาน/ผู้บริโภคหรือไม่ ด้านเศรษฐกิจ (Economic) การตรวจสอบว่าถ้ามีการใช้เทคโนโลยีแล้ว จะต้องมีการเลิกจ้างพนักงานหรือไม่ ด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) การตรวจสอบว่ามีกระบวนการ recycle ผลิตภัณฑ์อย่างไร และด้านเทคโนโลยี(Technological) การตรวจสอบว่า AI ขององค์กรมีจริยธรรมหรือไม่

“ในวันที่โลกพัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่ง “Corporate Digital Responsibility” ต้องพัฒนาตามไปด้วย แต่ถ้าองค์กรใช้ 5 เครื่องมือ UNGP มาเป็นกรอบแนวทางในการดำเนินงานผมมั่นใจว่าท่านได้ Approve เรียบร้อยแล้ว” ดร. เสรี กล่าว

 

นอกจากนี้ยังมีการนําเสนอแนวคิดในการเปิดรับการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลสู่ธุรกิจที่ยั่งยืนใน 2 มุมมอง 2 หัวข้อเสวนา หัวข้อแรก“บทบาทของรัฐกับการสนับสนุนภาคธุรกิจในกระบวนการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคดิจิทัลอย่างยั่งยืน ผู้ร่วมเสวนา คือ ดร.กษิติธร ภูภราดัย รองผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล นายมีธรรม ณ ระนอง รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ นายธนธรรศ บำเพ็ญบุญ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายกลยุทธ์สถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย นายนิธิภัทร ศรีธัญญา ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาบุคลากรดิจิทัล กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน นายวรพจน์ ประสานพานิช ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม

ทุกหน่วยงานได้แสดงความพร้อมที่จะสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านด้านเทคโนโลยีตามภารกิจของแต่ละหน่วยงาน อาทิ การสร้างความตระหนักรู้การฝึกอบรมและพัฒนาทักษะดิจิทัลเพื่อสร้างงานด้านดิจิทัลและผ่านแพล็ตฟอร์มดิจิทัลการจัดการความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะการทำธุรกรรมทางการเงิน การเปิดกว้างให้ใช้ประโยชน์จากข้อมูลตามสิทธิ์ของผู้ใช้บริการ (Open Data for Customer Empowerment) และการส่งเสริมผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ซึ่งยังคงต้องการความช่วยเหลือด้านเงินทุนความรู้ด้านเทคโนโลยีดิจิทัล รวมทั้งการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ตามแนวทาง BGC – Bio Circular Green Economy โดยชี้ว่าความท้าทายและการดำเนินงานต่อไปในเรื่องนี้ ก็คือการผลักดันให้ภาคเอกชนร่วมดูแลกลุ่มเปราะบางให้เท่าทันการเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ การกำหนดมาตรฐาน (Standard) ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นฝีมือแรงงาน ค่าตอบแทนการพัฒนานิเวศ (Ecosystem) ที่เอื้อให้ผู้ประกอบการทำธุรกิจได้ง่ายขึ้น

หัวข้อที่สอง“การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจอย่างยั่งยืน”ได้ตัวแทนจากองค์กรธุรกิจ ร่วมเสวนา ได้แก่ นายณัฐภัทร ทวีกาจนญ์ Learning & Productivity Project Manager บริษัท วัลแคน โคอะลิชั่น จำกัด นายศศินทร์ ซานไทโว ผู้จัดการแผนกสำนักความร่วมมือระหว่างประเทศ บริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์จำกัด นายเดวิด ลามาส Chief Digital Officer บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) แต่ละองค์กรได้แบ่งปันประสบการณ์ในการเทคโนโลยีดิจิทัลมาขับเคลื่อนธุรกิจโดยคำนึงถึงประเด็นสิทธิมนุษยชนไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อให้การเข้าถึงเอกสารเป็นไปได้ให้ง่ายขึ้นโดยคำนึงถึงกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้พิการ ผู้สูงอายุ การพัฒนาแพล็ตฟอร์มให้บริการด้านสุขภาพอัจฉริยะเพื่อให้บริการ Telemedicine ที่ต้องคำนึงถึงกฎหมาย PDPA การบริหารจัดการข้อมูลสำคัญของผู้บริโภค ร่วมกับคู่ค้าในห่วงโซ่อุปทาน โดยมีกำกับดูแลเพื่อให้มั่นใจว่าคู่ค้าได้ดำเนินการตามกฎหมายและแนวทางที่องค์กรวางไว้ทั้งนี้ ตัวแทนภาคเอกชนต้องการให้ภาครัฐสนับสนุนงบประมาณและลดขั้นตอนที่ซับซ้อนและย้ำว่าภาคธุรกิจต้องปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีดิจิทัลและคำนึงถึงการคุ้มครองสิทธิ์ของประชาชนในฐานะผู้บริโภคโดยภาครัฐและภาคธุรกิจควรร่วมมือกัน เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านครั้งนี้