ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเผยการเติบโตของอุตสาหกรรม AI พบเป็นภาคส่วนที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก โดยมีการลงทุนมากกว่า 91.9 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2022 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐต่อปีภายในปี 2030
จากตัวเลขการลงทุนที่เพิ่มขึ้นสูงมากนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้ว่า มีผลกระทบบางประการที่จะเกิดกับประเทศไทยด้วยเช่นกัน ได้แก่
- หากประเทศไทยต้องการยกระดับการใช้ AI เทียบเท่ากับสหรัฐอเมริกา จะต้องเพิ่มความสามารถของศูนย์ข้อมูลมากถึง 114 เท่า
- รัฐบาลไทยมีแผนที่จะสร้างผู้มีความสามารถด้าน AI จำนวน 30,000 คน ภายใต้ยุทธศาสตร์ AI แห่งชาติ ภายในปี 2028
- เมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ หากสามารถรวม AI เข้ากับระบบควบคุมการจราจร (BATCP) อาจลดโอกาสที่สูญเสียไป ได้ถึง 1.7 พันล้านบาทต่อปี
Goldman Sachs ชี้ มนุษย์ปฏิเสธ AI ได้ยากขึ้น
จากการวิจัยของ Goldman Sachs Investment Research ประเมินว่า ประเทศไทยอาจเพิ่มผลิตภาพประจำปีได้ประมาณ 0.9% หากประเทศยอมรับ AI อย่างไรก็ตามการนำ AI มาใช้ในชีวิตประจำวันไม่เหมือนกับเทคโนโลยีอื่น ๆ เช่น อินเทอร์เน็ตหรือ 5G เพราะแม้ AI จะมีศักยภาพสูง แต่ก็มีความเสี่ยงที่รัฐบาลต้องจัดการอย่างมีประสิทธิภาพด้วย
สำหรับภาครัฐ ผลกระทบของ AI สามารถแบ่งออกเป็นสองประเภท ได้แก่
1) การเปลี่ยนแปลงโดยตรงจากการนำระบบอัตโนมัติเข้ามาใช้ในกระบวนการทางราชการ
2) การเปลี่ยนแปลงทางอ้อม จากการเปลี่ยนแปลงรายได้จากภาษีเนื่องจากโครงการ AI, การสร้าง Data Center และการสูญเสียงานในประเทศไทย
ในปี 2022 รัฐบาลไทยได้เปิดตัวยุทธศาสตร์ AI แห่งชาติ โดยการจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายและแผนปฏิบัติการ AI แห่งชาติ ภายใต้การแนะนำของศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ยุทธศาสตร์นี้มีเป้าหมายสำหรับปี 2028 โดยมีใจความสำคัญ ได้แก่
- สร้างผู้มีความสามารถด้าน AI มากกว่า 30,000 คน
- สร้างต้นแบบ R&D ด้าน AI อย่างน้อย 100 โครงการ
- หน่วยงาน 600 แห่ง ใช้เทคโนโลยี AI
- เพิ่มการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล 10% ต่อปี เพื่อสนับสนุนการพัฒนา AI ในภาครัฐและเอกชน
- พัฒนา AI การวิจัย และการใช้อย่างกว้างขวางเพื่อสร้างผลกระทบทางธุรกิจและสังคมอย่างน้อย 48 พันล้านบาท
สำหรับตัวอย่างของการดำเนินการ เช่น ความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับบริษัท Microsoft ในปี 2024 รวมถึงการที่รัฐบาลมีแผนลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ 6 โครงการ ซึ่งต้องการเงินลงทุนรวม 1.5 พันล้านบาท โดยแบ่ง 1 พันล้านบาท เพื่อพัฒนาแรงงานที่มีทักษะด้าน AI จำนวน 30,000 คน
เพิ่มคนมีทักษะ AI ให้ได้ 30,000 คน
สำหรับการพัฒนาแรงงานที่มีทักษะด้าน AI จำนวน 30,000 คนนั้น บทวิเคราะห์ดังกล่าวชี้ว่า เป็นเป้าหมายที่ทะเยอทะยาน เนื่องจากทั่วโลกมีวิศวกร AI เพียง 150,000-300,000 คนเท่านั้น แต่หากทำได้ จะทำให้ประเทศไทยกลายเป็นหนึ่งในสิบศูนย์กลาง AI ของโลก นอกจากนี้ ยังเพิ่มจำนวนแรงงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา IT ในประเทศไทยขึ้น 28% จาก 106,000 คน เป็น 136,000 คนด้วย
ปัจจุบัน สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีนักวิจัย AI ชั้นนำทำงานมากที่สุด โดยมีมากกว่าครึ่งของนักวิจัยทั้งหมด ตามด้วยจีนและสหราชอาณาจักร
นอกเหนือจากทรัพยากรบุคคลแล้ว ประเทศไทยยังต้องลงทุนใน Data Center เพื่อให้มีโครงสร้างพื้นฐานที่เพียงพอในการดูแลและการประมวลผลข้อมูล ในสหรัฐอเมริกาคาดว่า AI จะใช้พลังงานสูงถึง 25% ของพลังงานทั้งหมด ในตอนนี้ ปริมาณการใช้พลังงานรวมของ Data Center ทั้งหมดในประเทศไทยประมาณ 71 เมกะวัตต์ หรือ 0.2% ของพลังงานที่มีอยู่ในประเทศไทย
หากประเทศไทยต้องการเข้าถึงระดับการนำ AI มาใช้ที่คล้ายกับแผนของสหรัฐอเมริกา เราจะต้องเพิ่มความจุของศูนย์ข้อมูลขึ้น 114 เท่า ดังนั้น ภาครัฐต้องลงทุนอย่างเต็มที่ในทรัพยากรมนุษย์และโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น หากต้องการบรรลุเป้าหมาย AI
ดึง AI ช่วยงานสาธารณะภาครัฐ
การใช้งาน AI ของภาครัฐในขั้นเริ่มต้น คาดว่าจะเป็นการสร้างระบบงานและบริการสาธารณะอัตโนมัติของภาคราชการ เพื่อลดภาระงานของบุคลากรและความซ้ำซากของธุรกรรม เช่น งานธุรการทั่วไป การป้อนข้อมูลด้วยตนเอง หรือการตอบคำถามลูกค้าเบื้องต้น
หนึ่งในตัวอย่างที่ดีคือรัฐบาลสหราชอาณาจักร โดยรัฐบาลสหราชอาณาจักรดำเนินการธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับประชาชนหนึ่งพันล้านครั้งต่อปีผ่านบริการเกือบ 400 ประเภท ซึ่งในจำนวนนี้ มี 120 ล้านรายการที่สามารถทำให้เป็นระบบอัตโนมัติได้อย่างง่ายดาย และหากนำมาใช้กับระบบราชการไทย ก็อาจช่วยลดระยะเวลารอคอยและเพิ่มความพึงพอใจของประชาชนได้เช่นกัน โดยงานที่ AI สามารถเข้ามาแทนที่ได้ มีดังนี้
- การสร้างบัตรประชาชนใหม่ การสร้างบัตรประชาชนในสถานการณ์พิเศษ
- การย้ายที่อยู่การสร้างโฉนดที่ดินสำหรับอาคารอะพาร์ตเมนต์ใหม่ที่มีหลายที่อยู่
- การประมวลผลภาษีทั่วไปคำแนะนำด้านนโยบายภาษี
- การโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินการแบ่งที่ดินในโฉนด
- การจัดตารางการขนส่งสาธารณะการวางแผนและการจัดการเครือข่ายการขนส่งสาธารณะ
- การเก็บข้อมูลการวางแผนสาธารณูปโภค
- การจ่ายเงินเดือนการออกแบบและจัดการค่าตอบแทนและสวัสดิการ
AI ช่วยจัดการจราจร “กรุงเทพฯ”
การพัฒนากระบวนการส่วนใหญ่สามารถเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยอยู่แล้ว แต่ AI สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่แบบ Real Time และการเข้าใจบริบทได้ สามหลักที่ประเทศไทยสามารถมุ่งเน้นในการนำ AI มาประยุกต์ใช้ ได้แก่ การจัดการจราจร การบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐาน และการเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายพลังงาน
หนึ่งในสายงานภาครัฐที่สามารถนำ AI มาประยุกต์ใช้ได้อย่างเห็นได้ชัดคือระบบการจัดการจราจรของกรุงเทพฯ ซึ่งสามารถลดโอกาสที่สูญเสียไปได้ถึง 1.7 พันล้านบาทต่อปี
อีกหนึ่งสายงานที่สามารถนำ AI มาสนับสนุนได้คือโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทย โดยเฉพาะการบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐาน ในตอนนี้ภาครัฐมีการลงทุน 4 ล้านล้านบาท ในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม คาดว่ายังคงมีส่วนต่างถึง 3.7 ล้านล้านบาท หากภาครัฐต้องการให้สอดคล้องกับความต้องการโครงสร้างพื้นฐานในปี 2040
การวางแผนเพื่อบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐานโดย AI คาดว่าจะลดการเสียหายลงได้ถึง 70% และลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาลงได้ 25% เมื่อเปรียบเทียบกับระบบทั่วไป ซึ่งการลงทุนในบำรุงรักษาผ่าน AI จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถปิดช่องว่างของงบด้านโครงสร้างพื้นฐานได้
สายงานที่สาม คือการเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายพลังงานของประเทศไทยโดยใช้ AI ซึ่งในตอนนี้กำลังถูกสำรวจโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) แม้ว่าจะอยู่ในระยะเริ่มต้น ยังเห็นถึงการลดความจำเป็นในการซื้ออุปกรณ์ใหม่ลงได้ 3-5% พร้อมกับการเพิ่มความพร้อมใช้งานและความยืนยาวของสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ได้ 5% ในช่วงสามปีที่ผ่านมา
ความมั่นคงยังไม่ใช่งานของ AI
สายงานหลักของภาครัฐที่คาดว่าจะไม่ได้รับผลกระทบจะเป็นงานที่ต้องการความสัมพันธ์ส่วนบุคคล (เช่น การทูตหรือการเมือง) และการตัดสินใจระดับสูง แม้ว่า AI อาจสามารถให้คำแนะนำทั่วไปได้ แต่การตัดสินใจด้านความมั่นคงแห่งชาติและนโยบายต่างประเทศของประเทศจะยังคงอยู่นอกขอบเขตของ AI
จากภาพรวมและความท้าทายที่เกิดขึ้น ข้อเสนอจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยต่อภาครัฐคือการพิจารณาความเสี่ยงเกี่ยวกับ AI ในแนวทางคล้ายกับการกำหนดกรอบกฎหมาย Artificial Intelligence Act ของ EU ที่ได้จัดประเภทความเสี่ยงของ AI เพื่อเพิ่มความปลอดภัยขณะที่ปกป้องสิทธิมนุษยชนพื้นฐาน โดยการสร้างกรอบการจัดการความเสี่ยง AI หรือ National Institute of Standards and Technology ของสหรัฐอเมริกา (NIST) และสร้างคู่มือความเสี่ยงที่เกิดจาก AI ประเภทสร้างสรรค์ (Generative AI) โดยเสนอให้ต้องดำเนินการมากกว่า 400 การกระทำ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือของระบบ AI
ทั้งนี้ ความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดของ AI คือการแพร่กระจายข่าวปลอมหรือข้อมูลที่ผิดพลาด ดังนั้น การเพิ่ม “AI literacy for All” จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งจำเป็นต้องมีการนิยามที่ชัดเจนของความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ AI ที่ครอบคลุมถึงการเข้าใจความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับ AI โครงการการศึกษาที่ครอบคลุมเป็นสิ่งจำเป็น โดยเน้นไม่เพียงแต่ทักษะทางเทคนิคที่จำเป็นในการใช้งานระบบ AI แต่ยังรวมถึงข้อพิจารณาทางจริยธรรมในการโต้ตอบกับเทคโนโลยี AI ด้วย
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุด้วยว่า การนำ AI มาใช้ภายในประเทศถือได้ว่าเป็นการสร้าง ‘S curve’ ใหม่ ซึ่งบ่งบอกถึงศักยภาพในการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญภายในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ยกเว้นญี่ปุ่นและจีน) โดยคาดว่าการลงทุนใน AI จะเติบโตขึ้น 26.8% ต่อปี จนมีมูลค่าสูงถึง 28.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2027 เพื่อสนับสนุนการเติบโตนี้อย่างมีประสิทธิภาพ การลงทุนในทุกระดับอย่างมีกลยุทธ์เป็นสิ่งสำคัญ ตั้งแต่การสร้างศูนย์ข้อมูล การจัดตั้งทุนการศึกษาท้องถิ่น และการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการศึกษา AI ซึ่งความพยายามเชิงกลยุทธ์เหล่านี้ อาจทำให้ประเทศไทยสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมของเราผ่านการปฏิวัติ AI ได้สำเร็จก็เป็นได้
ที่มา brandbuffet