ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่น หอการค้าไทยจีน ประเมินภาวะเงินเฟ้อ และเหตุการณ์ความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตและบริการ ใน ไตรมาส 2/2565 ผู้ประกอบการเตรียมปรับราคาสินค้าและบริการภายใน 1-3 เดือน คาดการณ์เศรษฐกิจไทย เกิดภาวะการชะลอตัว จากปัจจัยในและต่างประเทศ และการแพร่ระบาดโควิดยังต้องเฝ้าระวัง
นายณรงค์ศักดิ์ พุทธพรมงคล ประธานกรรมการ หอการค้าไทย-จีน เปิดเผยว่า หอการค้าไทย-จีน และคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทำการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นจาก คณะกรรมการกิตติมศักดิ์ คณะกรรมการบริหาร และสมาชิกหอการค้าไทยจีน และประธาน ผู้บริหาร กรรมการสมาพันธ์หอการค้าไทยจีน และกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่หอการค้าไทยจีน ช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2565 เพื่อคาดการณ์ทิศทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 ปี 2565 ประเด็นพิเศษได้ให้ความสำคัญกับ สอง เรื่องด้วยกัน กล่าวคือ (1) การติดตามสถานการณ์เงินเฟ้อ (2) โอกาสในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทย ทั้งนี้ได้มีการสำรวจ ความคิดเห็นของสมาชิก เพื่อประเมินสถานการณ์กับเหตุการณ์ที่เป็นปัจจัยที่มีผลต่อการดำเนินธุรกิจมากที่สุด โดยเฉพาะหลังจากที่สถานการณ์รัสเซียเข้าโจมตียูเครนเป็นไปอย่างตึงเครียด
ทั้งนี้พบว่า มี 2 ปัจจัยหลัก ที่สมาชิกมีความกังวล 1.จากสถานการณ์เงินเฟ้อในหลายประเทศทั่วโลก ที่มีแนวโน้มขยับตัวสูงขึ้น รวมถึงประเทศไทย ผลสำรวจพบว่า มีการเพิ่มขึ้นของต้นทุนการผลิตสินค้าและบริการ ในไตรมาสแรกของปี 2565 หากเปรียบเทียบไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 ผู้ประกอบการในสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 78 มีผลกระทบต่อต้นทุนมากกว่าร้อยละ 10 ขึ้นไป (ประมาณร้อยละ 52 ของผู้ประกอบการได้รับผลกระทบต้นทุนระหว่างร้อยละ 10-20) ส่วนผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบต้นทุนเพิ่มขึ้นแต่น้อยกว่าร้อยละ 10 มี คิดเป็นร้อยละ 22 เมื่อพิจารณาถึงการปรับราคาสินค้าจากการที่ต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น และประกอบกับเหตุการณ์ความขัดแย้งของรัสเซียและยูเครนมีผลกระทบต่อราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่ม
โดยผลการสำรวจพบว่าประมาณร้อยละ 88 จะต้องปรับราคาขึ้น โดยร้อยละ 53.9 คิดว่าจะขึ้นราคาภายใน 3 เดือน และมีมากถึงร้อยละ 33.9 คิดว่าจะปรับราคาขึ้นภายใน 1 เดือน มีเพียงเล็กน้อยที่คิดจะปรับราคาขึ้นหลังจาก 3 เดือนไปแล้ว เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้ให้ข้อมูลร้อยละ 49 คาดว่าเงินเฟ้อจะขึ้นไปถึงจุดสูงสุดในปี 2565 ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ขณะที่ร้อยละ 19 ในสัดส่วนที่เท่ากัน ที่คาดว่าเงินเฟ้อน่าจะถึงจุดสูงที่สุดในไตรมาสที่ 2 และไตรมาสที่ 3 ในปี 2565 ทั้งนี้ความเคลื่อนไหวของภาวะเงินเฟ้อเป็นเรื่องที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
ส่วนโอกาสพลิกฟื้นของเศรษฐกิจไทยนั้น ได้มีการสำรวจทั้งประเด็นภายในประเทศและประเด็นจากต่างประเทศ ประเด็นในประเทศ ประกอบด้วย ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ โควิด-19 เสียงส่วนใหญ่ร้อยละ 69 ยังมีความกังวลที่คนไทยส่วนหนึ่งยังไม่เข้าถึงการบริการและการรับวัคซีนที่เพียงพอ จะมีผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และร้อยละ 51.7 ยังมีความกังวลต่อการระบาดของสายพันธุ์โอไมครอน แม้ว่ามีแนวโน้มว่าเป็นโรคประจำถิ่น ส่วนปัจจัยหลักจะทำให้เศรษฐกิจไทยพลิกฟื้นในปี 2565 คือการกลับมาของนักท่องเที่ยว การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่ติดเชื้อโควิด-19 มีความสำคัญเป็นสามลำดับแรก และการลดลงของผู้ป่วย
ทั้งนี้เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว มาตรการ Test & Go ที่เริ่มตั้งแต่ 1 มีนาคม ที่ผ่านมาโดยให้มีแต่การตรวจด้วย RT-PCR และกักตัวระยะสั้น และตรวจซ้ำด้วยตัวเอง (ใช้วิธี ATK ในวันที่ 5 หลังจากมาถึงเมืองไทย) ได้รับคะแนนเห็นด้วยร้อยละ 94.8 ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศไทย เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
ขณะที่ประเด็นทางด้านต่างประเทศ มีทั้งปัจจัยบวกและลบดังนี้ ปัญหาหนี้สินของบริษัทขนาดใหญ่และบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในจีนที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภูมิภาค ผู้ตอบการสำรวจร้อยละ 56.7 คาดว่าจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยโดยพอประมาณ ขณะที่ร้อยละ 28.6 คาดว่าจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยน้อยมาก นอกจากนี้ การเปิดเส้นทางเดินรถไฟความเร็วสูงระหว่าง สปป ลาว และจีนตั้งแต่ ธันวาคม 2564 พบว่าจะเป็นการเปิดโอกาสในการส่งออกสินค้าของไทย โดยร้อยละ 28.6 ของผู้ตอบการสำรวจคิดว่าจะเป็นโอกาสที่ดีมากสำหรับประเทศไทยในการส่งออกสินค้า และร้อยละ 39.3 คิดว่าเป็นโอกาสที่ดี
ส่วนในประเด็นข้อตกลงการค้าเสรี RCEP (Regional Comprehensive Economic Partnership) ที่ได้เริ่มตั้งแต่ต้นปี 2565 จากการสำรวจพบว่าธุรกิจอาหาร สินค้าเกษตร และธุรกิจยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์จะได้รับประโยชน์มากอย่างโดดเด่น และยังมีเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และยางพาราและผลิตภัณฑ์ยางพารา ผู้ตอบการสำรวจยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าการที่จะได้ใช้ประโยชน์จากข้อตกลงนี้สามารถทำได้ทันที ถึงร้อยละ 30.4
สำหรับปัจจัยลบที่ต้องเฝ้าระวังคือ สถานการณ์ความตึงเครียดของสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนที่รบกันแล้ว ผู้ให้ข้อมูลร้อยละ 90 มีความกังวล โดยแบ่งเป็น ร้อยละ 53.9 ได้แสดงความกังวลมาก าจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ขณะที่ร้อยละ 36.5 มีความกังวลปานกลาง
นายณรงค์ศักดิ์กล่าวย้ำว่า เมื่อพิจารณาถึงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างจีนและไทย จากการสำรวจพบว่าร้อยละ 44.4 คาดว่าเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนโดยรวมของจีนในไตรมาสที่2 ปี 2565 จะดีขึ้น เมื่อเทียบกับไตรมาสปัจจุบัน ซึ่งผลการประเมินดังกล่าวได้สะท้อนถึงการคาดคะเนการส่งออกของไทยไปยังประเทศจีนในไตรมาสหน้า ร้อยละ 49.4 คาดว่าการส่งออกของไทยไปยังจีนจะเพิ่มขึ้น และ ร้อยละ 30.9 ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปจากปัจจุบัน
“การขยายตัวของธุรกิจออนไลน์ พืชผลการเกษตร ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจท่องเที่ยว และการบริการยังเป็นตัวหนุนขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปีนี้ คือ ส่วนธุรกิจที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน คือ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และที่ตามมาคือ อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ และพืชผลการเกษตร ส่วนค่าเงินบาทจะอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลล่าร์สหรัฐอเมริกาในไตรมาส 2 กล่าวโดยสรุปได้ว่าแม้ว่าความสัมพันธ์การค้า การลงทุน ระหว่างไทยจีนคาดว่าจะเดินหน้าอย่างราบรื่น ขณะที่ปัญหาเรื่องเงินเฟ้อเป็นเรื่องที่สำคัญ ซึ่งสถานการณ์เงินเฟ้อนั้นเป็นปัญหาที่ต่อเนื่องมาจากการระบาดของโควิด-19 และความขัดแย้งของชาติมหาอำนาจส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันและวัตถุดิบเพิ่มสูงขึ้น เศรษฐกิจไทยในระยะสั้นไตรมาสที่สองของปี 2565 น่าจะชะลอตัวอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก”
ที่มา สยามรัฐ