นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 41 อย่างไม่เป็นทางการ (Retreat) มีผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียน 9 ประเทศ (เมียนมาไม่เข้าร่วม) และเลขาธิการอาเซียน เข้าร่วมประชุมที่ โรงแรมสกคา พนมเปญ เพื่อหารือเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างอาเซียนกับภาคีภายนอก และแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นต่อสถานการณ์และพัฒนาการที่สำคัญในภูมิภาคและระหว่างประเทศ
โดยนายกรัฐมนตรีเสนอ 2 แนวทางที่อาเซียนควรดำเนินการไปพร้อมๆ กัน ท่ามกลางสถานการณ์ความท้าทายต่างๆ ที่โลกกำลังเผชิญ ดังนี้
1.เสริมสร้างความเข้มแข็งแก่กลไกที่อาเซียนมีบทบาทนำ โดยดึงศักยภาพของแต่ละกรอบมาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และการดำเนินการของแต่ละกรอบมีการสอดประสานกัน ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความเป็นแกนกลางของอาเซียน และสามารถรักษาคุณค่าทางยุทธศาสตร์ของโครงสร้างสถาปัตยกรรมภูมิภาคที่มีอาเซียนเป็นแกนกลาง
2.กระชับความสัมพันธ์กับคู่เจรจาและหุ้นส่วนภายนอกอื่นๆ ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นบนพื้นฐานของความไว้วางใจระหว่างกัน ความเคารพซึ่งกันและกัน และผลประโยชน์ร่วมกัน โดยอาเซียนดำเนินความสัมพันธ์อย่างสมดุล เพื่อส่งเสริมเสถียรภาพและความมั่นคงในภูมิภาค
สำหรับสถานการณ์ในภูมิภาคและระหว่างประเทศ อาเซียนสามารถเป็นส่วนหนึ่ง โดยใช้พลังของอาเซียนดึงฝ่ายต่างๆ ให้มาพบปะหารือกัน ซึ่งในช่วงหนึ่งสัปดาห์นี้มีการประชุมสุดยอดอาเซียน การประชุม G20 และไทยเองก็จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปค จึงควรใช้โอกาสนี้เป็นเวทีสำหรับการปฏิสัมพันธ์อย่างสร้างสรรค์ระหว่างฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
ส่วนสถานการณ์ในเมียนมา นายกรัฐมนตรี เห็นว่า บทบาทของอาเซียนมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง ทุกคนต้องการเห็นสันติภาพและเสถียรภาพในเมียนมา เพื่อประโยชน์ของประชาชนเมียนมาและประชาคมอาเซียน ซึ่งทุกฝ่ายควรทำงานร่วมกันเพื่อให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมส่งไปถึงประชาชนเมียนมาที่เดือดร้อน ไทยในฐานะประเทศเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดต่อกับเมียนมา พร้อมสนับสนุนและร่วมมือกับอาเซียนและประชาคมระหว่างประเทศในการส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมไปสู่ประชาชนเมียนมา
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความยินดีกับกัมพูชาที่ประสบความสำเร็จในการทำหน้าที่ประธานอาเซียน และไทยพร้อมสนับสนุนอินโดนีเซียสำหรับการเป็นประธานอาเซียนในปีหน้า เพื่อร่วมกันเสริมสร้างประชาคมอาเซียนให้ก้าวหน้าและเข้มแข็งต่อไป
ที่มา สำนักข่าวอินโฟเควสท์