Fitch Solutions คาดปี 2566 ตลาดข้าวทั่วโลกเข้าสู่ภาวะขาดแคลนครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 2 ทศวรรษ


ที่มาภาพ: https://www.tpci.in/indiabusinesstrade/news_buzz/food-ministry-releases-guidelines-for-open-market-sale-of-rice/

ผู้คนกว่า 3.5 พันล้านคนทั่วโลก และโดยเฉพาะในเอเชียแปซิฟิก ซึ่งบริโภคข้าว 90% ของข้าวทั้งโลก กำลังเผชิญกับผลกระทบของผลผลิตข้าวที่ลดลงและราคาข้าวที่สูงขึ้น อันเป็นผลจากการผลิตข้าวที่ลดลงตั้งแต่จีน สหรัฐฯ ไปจนถึงสหภาพยุโรป

Fitch Solutions ระบุว่า ตลาดข้าวทั่วโลกคาดว่าจะเข้าสู่ภาวะขาดแคลนครั้งใหญ่ที่สุดในรอบสองทศวรรษในปี 2566

นักวิเคราะห์กล่าวกับ CNBCว่า การขาดแคลนข้าว ซึ่งเป็นธัญพืชที่มีการเพาะปลูกมากที่สุดของโลกจะส่งผลกระทบต่อผู้นำเข้ารายใหญ่

ชาร์ลส ฮาร์ต นักวิเคราะห์สินค้าโภคภัณฑ์ของ Fitch Solutions กล่าวว่า “ในระดับโลก ผลกระทบที่ชัดเจนที่สุดของการขาดแคลนข้าวทั่วโลกซึ่งเห็นแล้วคือ ราคาข้าวที่สูงในรอบทศวรรษ และจะยังคงสูง”

ราคาข้าวคาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับสูงสุดในปัจจุบันจนถึงปี 2567 จากรายงานของ Fitch Solutions Country Risk & Industry Research เมื่อวันที่ 4 เมษายน

ราคาข้าวเฉลี่ยอยู่ที่ 17.30 ดอลลาร์ต่อ cwt (hundredweight มาตรฐานที่ใช้ในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์บางประเภท เช่น ข้าว สำหรับการซื้อหรือขาย)ตั้งแต่ต้นปี 2566 และจะลดลงเหลือเพียง 14.50 ดอลลาร์ต่อ cwt ในปี 2567

“เนื่องจากข้าวเป็นสินค้าอาหารหลักในหลายตลาดในเอเชีย ราคาจึงเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อของอาหารและความมั่นคงทางอาหาร โดยเฉพาะสำหรับครัวเรือนที่ยากจนที่สุด” ฮาร์ตกล่าว

รายงานคาดการณ์ว่า การขาดแคลนข้าวทั่วโลกในปี 2565/2566 จะมีปริมาณ 8.7 ล้านตัน ซึ่งจะเป็นการขาดแคลนข้าวทั่วโลกที่ใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2546/2547 ที่ทั่วโลกขาดแคลนข้าว 18.6 ล้านตัน

ซัพพลายข้าวตึงตัว

การที่ตลาดขาดแคลนข้าวเป็นผลมาจากสงครามที่กำลังดำเนินอยู่ในยูเครน รวมถึงสภาพอากาศเลวร้ายในประเทศที่ผลิตข้าวอย่างจีนและปากีสถาน

ในช่วงครึ่งหลังของปีที่แล้ว พื้นที่เพาะปลูกในจีนผู้ผลิตข้าวรายใหญ่ที่สุดของโลกได้รับผลกระทบจากมรสุมฤดูร้อนและน้ำท่วมหนัก

ปริมาณน้ำฝนสะสมในมณฑลกว่างซีและกวางตุ้งของประเทศ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตข้าวที่สำคัญของจีน สูงเป็นอันดับสองในรอบอย่างน้อย 20 ปี ตามรายงานของบริษัทวิเคราะห์การเกษตร Gro Intelligence

ในทำนองเดียวกัน ปากีสถานซึ่งมีส่วนแบ่ง 7.6% ของการค้าข้าวทั่วโลก ประสบปัญหาผลผลิตประจำปีลดลง 31% เมื่อเทียบเป็นรายปี เนื่องจากน้ำท่วมรุนแรงเมื่อปีที่แล้ว กระทรวงเกษตรของสหรัฐฯ (USDA) ระบุ โดยชี้ว่าผลกระทบดังกล่าว “แย่กว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้”

การขาดแคลนข้าวส่วนหนึ่งเป็นผลจาก “การเก็บเกี่ยวผลผลิตของจีนแผ่นดินใหญ่ที่ลดลงทุกปี ซึ่งเกิดจากความร้อนจัดและความแห้งแล้ง รวมถึงผลกระทบจากน้ำท่วมหนักในปากีสถาน” ฮาร์ตระบุ

การศึกษาทางวิทยาศาสตร์พบว่า ข้าวเป็นพืชที่เปราะบางและมีความเป็นไปได้สูงสุดที่จะสูญเสียผลผลิตพร้อมกันระหว่างปรากฏการณ์เอลนีโญ

นอกจากความท้าทายด้านอุปทานที่ตึงตัวขึ้นแล้ว ข้าวยังกลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากขึ้นหลังจากราคาธัญพืชหลักอื่นๆ พุ่งสูงขึ้น นับตั้งแต่รัสเซียรุกรานยูเครนในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ฮาร์ตกล่าว การใช้ข้าวทดแทนธัญพืชอื่นส่งผลให้ความต้องการเพิ่มขึ้น

ใครบ้างที่จะได้รับผลกระทบ?

การผลิตข้าวที่ลดลงเมื่อเทียบรายปีในประเทศอื่นๆ เช่น สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ก็มีส่วนทำให้เกิดการขาดแคลนข้าวเช่นกัน จากการให้ความเห็นของ Oscar Tjakra นักวิเคราะห์อาวุโสของ ราโบแบงก์ธนาคารที่เมุ่งเน้นด้านอาหารและการเกษตรระดับโลก

“สถานการณ์การผลิตข้าวทั่วโลกที่ลดลง จะเพิ่มต้นทุนการนำเข้าข้าวให้แก่ผู้นำเข้าข้าวรายใหญ่ เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และประเทศในแอฟริกาในปี 2566” Tjakraกล่าว

หลายประเทศจะถูกบีบให้ต้องระบายจากปริมาณสำรองในประเทศด้วยเช่นกัน Kelly Goughary นักวิเคราะห์วิจัยอาวุโสของ Gro Intelligence กล่าว โดยชี้ว่า ประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนข้าวมากที่สุด คือ ประเทศที่ประสบปัญหาเงินเฟ้อจากราคาอาหารภายในประเทศที่สูงอยู่แล้ว เช่น ปากีสถาน ตุรเคีย ซีเรีย และบางประเทศในแอฟริกา

“ตลาดส่งออกข้าวทั่วโลก ซึ่งโดยทั่วไปตึงตัวกว่าตลาดธัญพืชหลักอื่นๆ … ได้รับผลกระทบจากการจำกัดการส่งออกของอินเดีย” ฮาร์ตจาก Fitch Solutions กล่าว

อินเดียสั่งห้ามส่งออกปลายข้าวในเดือนกันยายน ซึ่งเป็นการดำเนินการที่ฮาร์ตระบุว่าเป็น “ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อราคา” ข้าว

ปริมาณมีเกินพอในระยะถัดไป

อย่างไรก็ตาม ปัญหาการขาดแคลนจะผ่านพ้นไปในอีกไม่นาน

Fitch Solutions ประมาณการว่า ตลาดข้าวทั่วโลกจะกลับสู่ “ภาวะที่เกือบสมดุลในปี 2566/2567” ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาข้าวในอนาคตตกลงต่ำกว่าระดับในปี 2565 แต่ยังคงอยู่ในระดับที่ “เหนือค่าเฉลี่ยช่วงก่อนโควิด (2558-2562) อยู่ 1 ใน 3 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีการเพิ่มปริมาณสำรองกลับมาหลังจากการดึงออกไปอย่างมาก”

“เราเชื่อว่าตลาดข้าวจะกลับมามีส่วนเกินในปี 2567/68 และคลายตัวต่อเนื่องในระยะปานกลาง”

Fitch คาดการณ์อีกว่า ราคาข้าวอาจลดลงเกือบ 10% เป็น 15.50 ดอลลาร์ต่อ cwt ในปี 2567

“เรามองว่าการผลิตข้าวทั่วโลกจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในปี 2566/2567 โดยคาดว่าผลผลิตทั้งหมดจะเพิ่มขึ้น 2.5% เมื่อเทียบเป็นรายปี” รายงานของ Fitch คาดการณ์ว่า อินเดียจะเป็น “เครื่องยนต์หลัก” ของผลผลิตข้าวทั่วโลกในอีก 5 ปีข้างหน้า

อย่างไรก็ตาม การผลิตข้าวยังคงขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ

รายงานเตือนว่า แม้กรมอุตุนิยมวิทยาของอินเดียคาดว่าประเทศจะมีปริมาณฝนมรสุมในระดับ “ปกติ” แต่การคาดการณ์ความร้อนและคลื่นความร้อนที่รุนแรงตลอดไตรมาสที่ 2 และ 3 ของปี 2566 ยังคงเป็นภัยคุกคามต่อการเก็บเกี่ยวข้าวสาลีของอินเดีย

ประเทศอื่นก็ไม่รอดเช่นกัน

“จีนเป็นผู้ผลิตข้าวและข้าวสาลีรายใหญ่ที่สุดในโลก และขณะนี้กำลังประสบกับภาวะแห้งแล้งในพื้นที่ปลูกข้าวในระดับสูงสุดในรอบกว่าสองทศวรรษ” Goughary กล่าว

ประเทศผู้ปลูกข้าวรายใหญ่ของยุโรป เช่น ฝรั่งเศส เยอรมนี และสหราชอาณาจักร ก็ประสบปัญหาภัยแล้งในระดับสูงสุดในรอบ 20 ปีเช่นกัน