Work: หลังทำงานมานานหลายสิบปี ก็ถึงเวลาพักผ่านกิจกรรมต่าง ๆ อย่างเล่นกับหลาน ท่องเที่ยว ไปเข้าสังคมกับคนวัยเดียวกัน โดยที่ไม่ต้องมีชีวิตผูกติดกับตารางเวลาและเรื่องงานอีกต่อไป
นี่เป็นเรื่องของคนวัยเกษียณซึ่งอายุ 60 ปีขึ้นไป แต่ตลอดหลายปีมานี้ กลุ่มคนที่สามารถเกษียณสำราญอยู่กับบ้านกำลังลดลง ๆ และมีแนวโน้มว่าต่อไปเพื่อนร่วมงานผมสีดอกเลาในออฟฟิศจะมีมากขึ้น ๆ
ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า คนทั่วโลกอายุยืนขึ้น โดยอายุเฉลี่ยระหว่างปี 2000 ถึง 2019 เพิ่มจาก 67 ปีเป็น 73 ปี และจะยิ่งเพิ่มขึ้นอีก จนทำให้เมื่อถึงปี 2050 1 ใน 6 ของประชากรโลกจะมีอายุ 65 ปีขึ้นไป
ซึ่งหากไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนใด ๆ หลายประเทศอาจขาดแคลนคนวัยทำงานเพราะผู้สูงวัยมีมากกว่าคนที่ยังทำงานอยู่ โดยประเมินกันว่า กลุ่มประเทศสหราชอาณาจักร (UK) จะถึงจุดดังกล่าวในปี 2029
ขณะที่บราซิล อินเดีย และสหรัฐฯ จะทยอยตามกันไป ปี 2035 2048 และ 2053 อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงมีอีกเทรนด์ที่กำลังก่อตัว และทุกบริษัททั่วโลกต่างสัมผัสได้
นั่นคือ คนอายุ 60 ปีขึ้นไปยังคงทำงานอยู่ทั้งที่ถึงวัยเกษียณแล้ว หรือคนที่เกิดช่วงสงครามโลกที่ยังทำงานอยู่ (Unretirement Babyboom) จนอายุเกษียณเลื่อนไปเป็น 65 ปี ซึ่งอนาคตอายุเกษียณจะเลื่อนออกไปอีก
สำนักข่าว BBC ของอังกฤษนำเรื่องนี้มาตีแผ่ โดยมีการคาดการณ์ผ่านทัศนะของนักวิชาการว่า เกณฑ์อายุเกษียณจะเลื่อนออกไปอีก โดยจาก 65 ปีในปัจจุบันอาจเลื่อนไปเป็น 75 ปี
เพราะผู้คนอายุยืนขึ้นและคนสูงวัยส่วนใหญ่ก็ยังแข็งแรง ประกอบกับเห็นว่าหากพิจารณาปัญหาเศรษฐกิจและค่าครองชีพในปัจจุบันแล้ว เงินที่เก็บหอมรอมริบมาคงหมดไปอย่างรวดเร็วจนไม่สามารถเกษียณได้อย่างสบายใจ
ความกังวลเรื่องชีวิตความเป็นอยู่และสถานะทางการเงินของผู้สูงวัย จนเลือกที่จะทำงานต่อไปยังมีข้อมูลสนับสนุนจากบริษัทประกันชีวิตในสหรัฐฯ ที่ว่า หากอยากเกษียณได้อย่างหมดห่วงในปัจจุบันต้องมีเงินเก็บเกือบ 1.3 ล้านดอลลาร์ (ราว 47 ล้านบาท)
ขณะที่ Larry Fink ซีอีโอของ Blackrock บริษัทบริหารจัดการการลงทุนยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ กล่าวกับนักลงทุนว่าค่าครองชีพและปัญหาเศรษฐกิจในปัจจุบันสูงและรุนแรงกว่าเมื่อ 30 ปีก่อนอย่างมาก จึงควรเลื่อนเกณฑ์อายุเกษียณจาก 65 ปีได้แล้ว
ดังนั้น สิ่งที่จะเห็นกันมากขึ้นจากนี้คือ การปรับตัวของบริษัททั่วโลก โดยทุกแผนกในแต่ละออฟฟิศจะมีคนสูงวัยที่สมัครใจทำงานอยู่ และอาจมีสองประเภท กล่าวคือผู้ที่ทำงานระดับล่าง ๆ เพราะปรับตัวไม่ไหวกับผู้ที่ยังคงอยู่ในตำแหน่งระดับสูง
เพราะปรับตัวได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งในเรื่องการอยู่ร่วมกับคนรุ่นอายุน้อยกว่าและเรื่องการใช้เทคโนโลยี โดยเฉพาะเอไอ
เทรนด์การเลื่อนวัยเกษียณ และการให้คนสูงวัยทำงานต่อไป ยังทำให้การให้คนอายุน้อยกว่าสลับมาสอนผู้สูงวัย (Reverse Mentorship) กับการพัฒนาทักษะใหม่ ๆ (Upskilling) อยู่เสมอ เป็นเรื่องปกติในทุกบริษัท
และทักษะการอยู่ทำงานร่วมกันของคนต่างวัย เพื่อลดการเหยียดวัย (Ageism) ทวีความจำเป็นในโลกการทำงานอีกด้วย
เทรนด์การเลื่อนวัยเกษียณ ยังเป็นการลดภาระของรัฐบาลทั่วโลกเรื่องสวัสดิการผู้สูงอายุ และช่วยให้สามารถนำเงินส่วนนี้ไปใช้พัฒนาประเทศด้านอื่น ๆ
เช่นในเกาหลีใต้ ที่กำลังถกเถียงกันว่า ควรเก็บค่าโดยสารรถไฟใต้ดินกรุงโซลกับผู้สูงอายุวัย 65 ปีขึ้นไปหรือไม่ เพราะมีจำนวนไม่น้อยใช้สวัสดิการขึ้นรถไฟใต้ดินฟรีไปกับการทำงานส่งดอกไม้
จนเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้รถไฟใต้ดินกรุงโซลสูญรายได้ไปถึงปีละ 250 ล้านดอลลาร์ (ราว 9,200 ล้านบาท)
อย่างไรก็ตาม เทรนด์การเลื่อนวัยเกษียณ ก็มีข้อเสีย เพราะเทรนด์นี้มีขึ้นควบคู่กับการเกิดต่ำ จึงหมายความว่าการเลื่อนขั้นย่อมทำได้ช้าลงกว่าในอดีต ซึ่งปัจจุบันเกิดขึ้นแล้ว
กับการที่กลุ่ม Gen X ที่อายุระหว่าง 44 ถึง 59 ปี ไม่ได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าแผนกเสียที เพราะ Babyboom ยังไม่วางมือ/bbc, yahoofinance
ที่มา Marketeer