ปิดฉากไปแล้วกับการประชุมสุดยอดผู้นำ G7 รวม 3 วัน ที่เมืองคอร์นวอลล์ ประเทศอังกฤษ ไปเมื่อต้นมิถุนายนที่ผ่านมา
การประชุมในวันนั้น บรรดาผู้นำต่างเห็นพ้องที่จะผลักดันแนวคิดริเริ่มใหม่ๆ เพื่อกระจายวัคซีนช่วยเหลือประเทศที่ยากจนในการต่อสู้กับโควิด-19 ตลอดจนปฏิรูประบบจัดเก็บภาษีบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ และการแก้ปัญหาโลกร้อนอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น
กลุ่ม G7 ที่ประกอบด้วยแคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา
โดยได้ออกแถลงการณ์ร่วมภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม สรุปได้ดังนี้
- กลุ่ม G7 เน้นย้ำถึงความสำคัญของสันติภาพและความมั่นคงในช่องแคบไต้หวัน โดยเรียกร้องให้จีนเคารพสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพพื้นฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์และฮ่องกง นอกจากนี้ กลุ่ม G7 จะจับตาสถานการณ์ในทะเลจีนตะวันออกและทะเลจีนใต้อย่างใกล้ชิด และคัดค้านความพยายามฝ่ายเดียวในการยกระดับความตึงเครียด
- กลุ่ม G7 ให้คำมั่นว่าจะจัดหาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ให้ได้ 1 พันล้านโดสในปีหน้า พร้อมกับแสดงเสียงสนับสนุนในการจัดกีฬาโตเกียวโอลิมปิกและพาราลิมปิกฤดูร้อนนี้
- กลุ่ม G7 ให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนการให้ความรู้แก่เด็กผู้หญิงในประเทศรายได้ต่ำ ด้วยการให้ความช่วยเหลือในวงเงิน 75 พันล้านดอลลาร์
- กลุ่ม G7 เรียกร้องให้เกาหลีเหนือโครงการผลิตอาวุธทำลายล้างและโครงการขีปนาวุธ โดยการยกเลิกโครงการดังกล่าวต้องสามารถตรวจสอบได้ และเกาหลีเหนือจะต้องไม่สามารถย้อนกลับไปดำเนินโครงการดังกล่าวอีกในอนาคต
- ผู้นำกลุ่ม G7 ได้รับรองการเก็บภาษีขั้นต่ำ 15% ทั่วโลก เพื่อป้องกันไม่ให้บริษัทข้ามชาติเลี่ยงภาษี และแสดงความกังวลเกี่ยวกับการบังคับใช้แรงงานในซัพพลายเชนโลก พร้อมจับตาปัญหาโลกร้อนและความไม่เสมอภาคที่เพิ่มขึ้นอันเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลก
- ในด้านพลังงาน ผู้นำกลุ่ม G7 ให้คำมั่นในการระงับการให้การสนับสนุนจากรัฐบาลเพิ่มเติม สำหรับการผลิตไฟฟ้าพลังงานถ่านหินความร้อนทั่วโลกที่ไม่ลดลงภายในปี 2564
- ในแถลงการณ์ G7 ระบุในส่วนที่เกี่ยวกับจีนและการแข่งในระบบเศรษฐกิจโลก โดยจะมีหารือกันอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับแนวทางร่วมกัน เพื่อท้าทายนโยบายและแนวปฏิบัติที่ไม่เกี่ยวกับตลาด ซึ่งทำลายความเป็นไปของระบบเศรษฐกิจโลกที่ยุติธรรมและโปร่งใส
ที่มา : สำนักข่าวอินโฟเควสท์