บรรยายภาพ หมายเลข 1: พล.ต.ท.นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต (แถวแรกที่ 3 จากซ้าย) ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 แถลงการจับกุมแก๊งโจรลักทรัพย์เสามือถือทรูพบของกลางมูลค่ากว่า 22 ล้านบาท โดยมีนายฤทธิรอน เพริดพร้อม (ซ้ายสุด) ทนายความจากสำนักงานกฎหมายบี แอนด์ แอล ตัวแทน “ทรู คอร์ปอเรชั่น” เข้าร่วมให้ข้อมูลในการดำเนินคดีให้ถึงที่สุด
15 ตุลาคม 2567 – ทรู คอร์ปอเรชั่น เดินหน้าเอาจริงในการร่วมกับตำรวจปราบปรามแก๊งโจรกรรมอุปกรณ์สื่อสารอย่างจริงจัง หลังพบการลักทรัพย์เสาสัญญาณทั่วประเทศ ส่งผลกระทบต่อบริการประชาชน โดยร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสืบสวนพฤติกรรม ความเคลื่อนไหว และช่องทางลำเลียงสินค้าโจรสู่ตลาดมืด เพื่อทลายเครือข่ายอาชญากรรมให้สิ้นซาก ล่าสุด ทรูร่วมกับตำรวจภูธรภาค 7 ชี้เบาะแสจับกุมหัวโจกและสมาชิกแก๊งโจรกรรมอุปกรณ์เสามือถือในภาคกลางได้ 5 ราย พร้อมของกลางมูลค่ากว่า 22.5 ล้านบาท การกระทำนี้สร้างความเสียหายอย่างหนักต่อประชาชนในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ
ความเสียหายจากการขโมยถอดอุปกรณ์เสามือถือ ซึ่งถือเป็นโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานดิจิทัล และเป็นสิ่งจำเป็นในการใช้งานของประชาชน ถือเป็นการกระทำอย่างอุกอาจเป็นภัยคุกคามต่อเศรษฐกิจ และสร้างความเดือดร้อนต่อการใช้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ทรู คอร์ปอเรชั่นจึงเดินหน้าเพื่อร่วมมือกับตำรวจจับโจรเพื่อดำเนินคดีถึงที่สุดในทุกกรณี
ตำรวจภูธรภาค 7 ได้ปฏิบัติการทลายแก๊งโจรกรรมอุปกรณ์เสาสัญญาณมือถือของทรู คอร์ปอเรชั่น ในพื้นที่จังหวัดราชบุรี กาญจนบุรี นครปฐม และจังหวัดอื่นๆ ทั่วประเทศ จับกุมผู้ต้องหา 5 ราย ตรวจยึดของกลางได้มีจำนวนทั้งสิ้น 43 รายการ รวม 357 ชิ้น มูลค่าประมาณ 22,500,000 บาท ประกอบด้วยอุปกรณ์รับ-ส่งสัญญาณ อุปกรณ์ควบคุมสัญญาณมือถือ ขบวนการโจรกรรมนี้เป็นเครือข่ายใหญ่ที่ลักลอบขโมยอุปกรณ์เสาสัญญาณโทรศัพท์มือถือทั่วประเทศ เพื่อส่งขายต่อให้ผู้รับซื้อต่างชาติ ขณะนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังสืบสวนขยายผลอย่างเข้มข้น มุ่งเป้าไปที่การค้นหาแหล่งรับซื้อของกลุ่มอาชญากรและติดตามเส้นทางการเงิน โดยมีเป้าหมายเพื่อทลายเครือข่ายอาชญากรรมนี้ให้หมดสิ้น
ทรูได้ดำเนินมาตรการเชิงรุกเพื่อป้องกันการโจรกรรม อาทิ การติดตั้งระบบกล้องวงจรปิดพร้อมระบบ AI ที่ตรวจจับแม่นยำวิเคราะห์สถานการณ์ที่ผิดปกติหรือสงสัยว่าอาจจะเป็นการขโมย พร้อมทำงานเชิงลึกผสานตำรวจถึงเส้นทางจับโจร และการจัดตั้งสำนักงานกฎหมายเพื่อประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างใกล้ชิด พร้อมยืนยันว่าจะดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดอย่างเด็ดขาดทุกราย โดยไม่มีการเจรจาต่อรอง
นายฤทธิรอน เพริดพร้อม ทนายความจากสำนักงานกฎหมายบี แอนด์ แอล ตัวแทน “ทรู คอร์ปอเรชั่น” ที่ได้รับผลกระทบ กล่าวว่า “เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อการให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งเป็นสาธารณูปโภคดิจิทัลพื้นฐาน ทำให้ประชาชนไม่สามารถใช้บริการได้ตามปกติ ส่งผลกระทบต่อการสื่อสาร การทำธุรกิจ และการใช้ชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ ยังสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินของบริษัทและกระทบต่อความมั่นคงของระบบโทรคมนาคมของประเทศ”
ทางด้านกฎหมาย ผู้กระทำความผิดจะถูกดำเนินคดีทั้งอาญาและแพ่ง โดยข้อหาลักทรัพย์จะมีความผิดสถานหนัก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุดถึง 7 ปี และปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท โดยมีโทษทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ การฟ้องร้องดำเนินคดีในความผิดฐานนี้ไม่สามารถยอมความได้ พร้อมทั้งจะมีการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งด้วยมูลค่าสูงสุด
ทั้งนี้ ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้ตั้งสำนักงานกฎหมายบี แอนด์ แอล เป็นตัวแทนเพื่อร่วมมือกับตำรวจในการดำเนินคดีอย่างจริงจังทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็นการลักทรัพย์อุปกรณ์รับ-ส่ง ประจำเสาสัญญาณ แบตเตอรี่ลิเธียม สายไฟ หรืออุปกรณ์ประจำสถานีฐานทั่วประเทศ โดยมุ่งเน้นการสืบสวนขยายผลเพื่อจับกุมผู้กระทำความผิดทุกรายมาดำเนินคดีให้ถึงที่สุด
ทรู คอร์ปอเรชั่น แสดงจุดยืนชัดเจนในการปกป้องโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนในการใช้งานทุกพื้นที่ทั่วไทย โดยมุ่งปราบปรามอย่างจริงจังและวางแผนเชิงรุก เพื่อสกัดกั้นการโจรกรรมอุปกรณ์สื่อสาร โดยได้ร่วมมือกับตำรวจอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ ทางตำรวจได้ขอความร่วมมือจากประชาชนในพื้นที่ให้แจ้งเบาะแสหากพบเห็นพฤติกรรมที่น่าสงสัย เบาะแสเกี่ยวกับขบวนการลักทรัพย์เสาสัญญาณโทรศัพท์มือถือ หรือการซื้อขายอุปกรณ์โทรคมนาคมที่น่าสงสัย การกระทำของขบวนการเหล่านี้สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชน ทำให้ไม่สามารถใช้บริการโครงสร้างพื้นฐานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และก่อให้เกิดความเสียหายพร้อมทั้งกระทบต่อคุณภาพ และการดำเนินชีวิตของประชาชน