10 พฤษภาคมของทุกปี ตรงกับวัน “วันป่าชายเลนแห่งชาติ” เป็นการเตือนให้ทุกภาคส่วน ร่วมกันปกป้อง ดูแลรักษา ปลูก ฟื้นฟู ทรัพยากรป่าชายเลนให้คงความสมบูรณ์ เนื่องจากป่าชายเลนเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ เป็นต้นทางของการสร้างความมั่นคงทางอาหารของมนุษย์และสัตว์ทุกชีวิต และยังเป็นแหล่งรายได้ของผู้ประกอบอาชีพด้านการประมงอีกด้วย
โครงการ “ซีพีเอฟ ปลูก ปัน ป้องป่าชายเลน” เป็นอีกหนึ่งโครงการภายใต้ความร่วมมือ 3 ประสาน คือ ภาครัฐ เอกชน และชุมชนในพื้นที่ โดยกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ก.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ชุมชน และ CPF ที่ดำเนินธุรกิจด้วยวิสัยทัศน์ “ครัวของโลกที่ยั่งยืน” พร้อมดูแลสิ่งแวดล้อมด้วยความใส่ใจตลอดกระบวนการผลิต ตระหนักและรู้คุณค่าของป่าชายเลน จึงได้ร่วมกันปกป้อง อนุรักษ์และฟื้นฟูป่า ซึ่งผลจากการดำเนินโครงการระยะที่ 1 (ปี 2557 -2561) ช่วยอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชายเลนรวม 2,388 ไร่ ในพื้นที่ จ.ระยอง สมุทรสาคร ชุมพร สงขลา และ พังงา
นอกจากเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้ประเทศแล้ว ผืนป่าชายเลนที่ ต.บางหญ้าแพรก จ.สมุทรสาคร ยังเป็นโมเดลที่ประสบความสำเร็จของการฟื้นฟูป่าชายเลน ช่วยแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง นอกจากนี้ ระบบนิเวศป่าชายเลนที่กลับมาอุดมสมบูรณ์ ยังเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำวัยอ่อน ส่งผลให้ทรัพยากรสัตว์น้ำกลับคืนมาในพื้นที่และส่งผลดีต่อชาวประมงที่มีรายได้เพิ่มขึ้น
คุณวัฒนา พรประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดสมุทรสาคร กล่าวว่า พื้นที่ป่าชายเลนจังหวัดสมุทรสาคร เป็นพื้นที่อ่าวตัว ก. ที่มีปัญหาพื้นที่ชายฝั่งถูกกัดเซาะ แต่จากความร่วมมือของภาคเอกชนและชุมชนในพื้นที่ จัดโครงการซีพีเอฟ ปลูก ปัน ป้อง ป่าชายเลน ทำให้ผืนป่าชายเลนบริเวณนี้กลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง เป็นป่าชายเลนมีคุณค่าทางเศรษฐกิจ เป็นที่ดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งจากการปลูกไม้ป่าชายเลน คือ ต้นแสม ซึ่งเป็นต้นไม้ที่เติบโตได้ดีในพื้นที่ ปริมาณต้นไม้ที่เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดการทับถมของตะกอนเลนเป็นแนวเพิ่มขึ้นสามารถปลูกต้นไม้ได้มากขึ้น ซึ่งเป็นผลโดยตรงของการอนุรักษ์และฟื้นฟูที่ทำให้พื้นที่ป่าเพิ่มขึ้น
CPF เดินหน้าโครงการ “ซีพีเอฟ ปลูก ปัน ป้อง ป่าชายเลน”เข้าสู่ระยะที่สอง โดยร่วมกับกรมอุทยานฯ ปลูกป่าใหม่ในพื้นที่ จ.สมุทรสาครเพิ่มเติมอีก 266 ไร่ หลังจากผลสำเร็จของโครงการระยะที่หนึ่งที่ร่วมกับทช. อนุรักษ์ ปกป้อง และฟื้นฟูป่าชายเลนที่ ต.บางหญ้าแพรก จ.สมุทรสาคร รวม 604 ไร่ (เป็นพื้นที่ปลูกป่าใหม่ 104 ไร่) รวมทั้งเดินหน้าอนุรักษ์ ปกป้อง และฟื้นฟูพื้นที่ป่าชายเลน ที่ต.ปากน้ำประแส จ.ระยอง พื้นที่ 614 ไร่ (เป็นพื้นที่ปลูกป่าใหม่ 54 ไร่) และในปี 2564 มีแผนที่จะอนุรักษ์ ฟื้นฟู และปลูกป่าใหม่ ที่ ต.ท่าพริก อ.เมือง จ.ตราด
พื้นที่ป่าชายเลนที่ได้รับการอนุรักษ์และฟื้นฟู สามารถต่อยอดโครงการให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศวิถีชุมชน ที่ ต.บางหญ้าแพรก จ.สมุทรสาคร และพื้นที่ ต.ปากน้ำประแส จ.ระยอง ทำให้ชาวบ้านในชุมชนทั้งสองพื้นที่มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาท่องเที่ยวและรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น ส่งผลดีต่อความเป็นอยู่ของคนในพื้นที่และเศรษฐกิจในท้องถิ่นนั้นๆ ซึ่งใน จ.ระยอง ยังเป็นศูนย์การเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลนของผู้ที่สนใจอีกด้วย
คุณวุฒิชัย สิทธิปรีดานันท์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและการพัฒนาอย่างยั่งยืน CPF กล่าวว่า จากการประเมินผลกระทบด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ที่เกิดขึ้นจากโครงการซีพีเอฟ ปลูก ปัน ป้อง ป่าชายเลน ปี 2561-2562 เทียบกับก่อนเริ่มโครงการในด้านเศรษฐกิจ พบว่า คนในชุมชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และมีรายได้เฉลี่ยเพิ่มขึ้น อาทิ รายได้จากการทำประมง โดยในพื้นที่ ต.บางหญ้าแพรก จ.สมุทรสาคร รายได้เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 1.7 เท่า และในพื้นที่ ต.ปากน้ำประแส จ.ระยอง รายได้เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 2.2 เท่า ด้านสังคม กลุ่มผู้สูงวัยมีสุขภาพจิตดีขึ้นจากการที่ใช้เวลาว่างในการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ และผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ป่าชายเลนป้องกันการกัดเซาะแนวชายฝั่ง เป็นแหล่งเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำตามธรรมชาติและช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
โครงการ “ซีพีเอฟ ปลูก ปัน ป้อง ป่าชายเลน” สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (Sustainable Development Goal :SDGs) ในประเด็นการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ การอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืน ส่งเสริมการใช้ประโยชน์ที่ยั่งยืนของระบบนิเวศบนบก
สถานการณ์ระบาดของโควิด-19 เป็นอีกหนึ่งสัญญาณเตือนว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องคืนความสมดุลให้กับธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ป่า ป่าไม้ ต้นไม้ เพราะสิ่งที่ตามมา คือ การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของมนุษย์ CPF ตระหนักดีถึงความสำคัญของทรัพยากรธรรมชาติโดยเฉพาะป่าชายเลน ที่เป็นทั้งแหล่งอาหาร แหล่งรายได้ และเป็นความมั่นคงทางอาหารของชุมชน จึงมุ่งมั่นเป็นส่วนหนึ่งที่ในการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้ประเทศและรักษาให้คงอยู่อย่างยั่งยืนต่อไป
Cr.PR CPF