CPF ขึ้นแท่นผู้นำธุรกิจสุกรโลก หลังผู้ถือหุ้นไฟเขียวเข้าซื้อธุรกิจในจีน ฐานผลิตแห่ง ที่ 7

คุณประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ได้รับมติอนุมัติจากผู้ถือหุ้นรายย่อย 99% ให้บริษัทย่อยเข้าซื้อธุรกิจสุกรในประเทศจีน จากการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 27 ตุลาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้ขึ้นเป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมสุกรของโลก ผู้บริหารมั่นใจเป็นประโยชน์กับบริษัทและเสริมการเติบโตในระยะยาว

“การเข้าซื้อกิจการสุกรในประเทศจีนครั้งนี้จะเป็นโอกาสที่ดีในการขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดสุกรในประเทศจีนที่มีมูลค่าสูงสุดในโลก เนื่องจากจำนวนประชากรที่มากและความนิยมในการบริโภคสุกรในประเทศสูง และมีแนวโน้มการเติบโตที่รวดเร็ว ประกอบกับการเกิดขึ้นของโรค African Swine Flu หรือ ASF ในประเทศจีนใน 3 ปีที่ผ่านมา ที่ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน ซึ่งซีพีเอฟได้ให้ความสำคัญในเรื่องนี้มาโดยตลอด”

ทั้งนี้ ปัจจุบัน บริษัทมีธุรกิจสุกรใน 7 ประเทศ ทั้งประเทศไทย เวียดนาม กัมพูชา มาเลเซีย เริ่มลงทุนในประเทศฟิลิปปินส์ และมีการร่วมลงทุนในประเทศรัสเซีย และล่าสุดในประเทศแคนาดา การที่ผู้ถือหุ้นรายย่อยอนุมัติให้ซีพีเอฟเข้าไปในธุรกิจสุกรครบวงจรในประเทศจีน ทำให้บริษัทก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจสุกรของโลก

เนื่องจากปริมาณสุกรที่เลี้ยงในประเทศจีนเกินกว่าครึ่งเป็นผลผลิตจากเกษตรกรรายย่อย ซึ่งเมื่อมีการระบาดของโรค ASF ทำให้เกิดความเสียหายสูง และยังมีโอกาสจะติดโรคอีกครั้งเมื่อกลับมาเลี้ยงใหม่ ส่งผลให้อุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกรมีการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้าง การเลี้ยงสุกรจะเป็นระบบสร้างคุณค่าร่วม

ซีพีเอฟวางแผนการขยายธุรกิจด้วยการส่งเสริมเกษตรกรในการเลี้ยงด้วยมาตรฐานการจัดการที่ทันสมัยปลอดภัยจากโรค และต่อยอดด้วยการพัฒนาธุรกิจแปรรูปสุกรเพิ่มขึ้น ดังนั้น การที่ผู้ถือหุ้นอนุมัติให้บริษัทย่อยของซีพีเอฟเข้าลงทุนในธุรกิจสุกรครั้งนี้ จะช่วยเสริมการเติบโตของผลการดำเนินงานในอนาคต

คุณประสิทธิ์กล่าวว่า สถานการณ์โควิดที่ยังคงอยู่ว่า เป็นสิ่งท้าทายสำหรับธุรกิจจากความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคน่าจะลดลง อย่างไรก็ตาม ซีพีเอฟได้ปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจ ปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานและการผลิต บริหารค่าใช้จ่าย ประกอบกับในหลายประเทศที่ลงทุนนั้นได้ขยายพื้นที่การตลาด จึงคาดว่า ผลการดำเนินงานบริษัทคงดีขึ้นต่อเนื่องในครึ่งหลังของปีนี้

ที่มา:ประชาชาติธุรกิจ