เมื่อเร็วๆนี้ คุณจอมกิตติ ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านพัฒนาความยั่งยืนภาครัฐ สำนักบริหารความยั่งยืน ธรรมาภิบาลและสื่อสารองค์กร เครือเจริญโภคภัณฑ์ นำทีมงานพร้อมด้วยภาคี เดินหน้า ปลูกต้นไม้ 4 ต้นน้ำ ปิง วัง ยม น่าน ขับเคลื่อนชุมชน สู่ความยั่งยืน ภายใต้การตระหนักถึงมาตรการรักษาความปลอดภัยโควิด -19 เพื่อบรรลุเป้าหมายปลูกไม้ยืนต้น ไม้เศรษฐกิจ ไม้ท้องถิ่น และไม้ผลกินได้ ในพื้นที่ภาคเหนือ พร้อมสนับสนุนให้ชุมชนร่วมปลูกต้นไม้เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว ช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หนึ่งในก๊าซเรือนกระจกตัวสำคัญที่เป็นสาเหตุของการเกิดภาวะโลกร้อน
การขับเคลื่อนงานด้านความยั่งยืน คือ เรื่องใกล้ตัวที่ทุกคนควรให้ความสนใจ เข้าใจถึงสภาพปัญหาในรูปแบบต่าง ๆ เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม โดยเครือฯ เล็งเห็นความสำคัญของระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมเป็นอันดับแรก พร้อมสร้างการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่นำร่อง สร้างป่าสร้างงาน สร้างอาชีพ โดยส่งเสริมอาชีพปลูกไม้ป่าควบคู่กับไม้เศรษฐกิจ เช่น กาแฟ ไผ่ และพืชมูลค่าสูง เติมเต็มพื้นที่ป่าและต่อยอดสู่การหมุนเวียนรายได้ เกิดการขับเคลื่อนวิสาหกิจชุมชน ยกระดับสู่ Social Enterprise เสริมความเข้มแข็ง พึ่งตนเองได้ เป็นต้นแบบในการเรียนรู้และพัฒนาเกษตรกร เพื่อรักษาฟื้นฟูป่าต้นน้ำ พร้อมการสร้างสำนึกรักบ้านเกิดและพื้นที่ทำกิน
ทั้งนี้ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเครือเจริญโภคภัณฑ์ได้ร่วมกับ หน่วยงานภาครัฐ ภาคประชาสังคม ภาคการศึกษา ในพื้นที่ทางภาคเหนือ ร่วมปลูกต้นไม้ไปแล้วกว่า 686,330 ต้น จำนวน 7,853 ไร่ และในปีนี้ จะมีการปลูกต้นไม้ในปี 2564 อีกจำนวน 100,000 ต้น บนพื้นที่ ต้นน้ำปิง บ้านแม่วาก อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ , ต้นน้ำวัง บ้านเลาสู อ.แจ้ห่ม จ.ลำปาง , ต้นน้ำยม บ้านดอนไชยป่าแขม อ.ปง จ.พะเยา ต้นน้ำน่าน บ้านสบขุ่น อ.ท่าวังผา จ.น่าน โดยมี 4 พื้นที่ยุทธศาสตร์ เป็นเป้าหมายหลักสำคัญ
คุณจอมกิตติ กล่าวต่อว่า โลกในปัจจุบันกำลังประสบภาวะวิกฤตหนักรอบด้าน จากสภาพภูมิอากาศ ภัยภิบัติ รวมถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิต หลงลืมให้ความตระหนักอันส่งผลกระทบต่อโลกโดยตรง เพื่อเป็นการขับเคลื่อนและแก้ไขปัญหา เครือซีพีได้กำหนดทิศทางและเป้าหมายความยั่งยืน ให้ความสำคัญในการมีส่วนร่วมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกผ่านมาตรการต่าง ๆ ตามเป้าหมายขององค์การสหประชาชาติ
เครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้สนับสนุนโครงการสบขุ่นโมเดล ผ่านการรับรองตามมาตรฐานและได้รับใบประกาศเกียรติคุณจากโครงการสนับสนุนกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจก หรือ LESS (Low Emission Support Scheme) จากการส่งเสริมโครงการฯ สามารถกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ จากพื้นที่ 420 ไร่ และความสามารถในการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 5,059.534 ตันคาร์บอนไดออกไซด์
การถ่ายทอดองค์ความรู้ใหม่แก่ชาวบ้าน การปลูกกาแฟและพืชผสมผสาน เพื่อลดพื้นที่ป่าที่ต้องถูกทำลายจากการทำไร่เลื่อนลอย เพิ่มพื้นที่สีเขียวและปกป้องฟื้นฟูระบบนิเวศ ซึ่งการปลูกต้นไม้เพิ่มขึ้นยังช่วยดูดก๊าซซับคาร์บอนไดออกไซด์ ที่เป็นต้นเหตุสำคัญของภาวะโลกร้อน ตลอดจนทำให้ชุมชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างสมดุลระหว่างมนุษย์ ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เครือเจริญโภคภัณฑ์เล็งเห็นถึงปัญหาและผลกระทบดังกล่าว ได้ประกาศเป็นนโยบายที่ทุกกลุ่มธุรกิจในเครือฯ ต้องขับเคลื่อนมิติด้านความยั่งยืนควบคู่กับการดำเนินธุรกิจ และกำหนดให้เรื่องการลดผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) และการปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่สีเขียวเป็นเรื่องหลักที่จะดำเนินการ ซึ่งนำไปสู่การจัดการเชิงนิเวศในผลิตภัณฑ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ