กระแส “รถ EV” ที่กำลังมาแรง จนหลายคนกำลังชั่งใจว่า ซื้อรถคันต่อไป จะเลือกซื้อ “รถยนต์ไฟฟ้า” หรือรถอีวีดีไหม? โดยนอกจากเรื่องของราคาแล้ว อีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องนำมาคิด นั่นก็คือ “ภาษีรถยนต์ไฟฟ้า” ว่าจะต้องเสียเท่าไร จะคุ้มค่ากว่าใช้รถยนต์ปกติหรือไม่ ไปหาคำตอบพร้อมกัน
เมื่อประเทศไทยต้องประสบปัญหาสภาวะโลกร้อนที่เรื้อรังมานาน ซึ่งสาเหตุอันดับต้นๆ ก็คือผลพวงที่มาจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของรถยนต์ กระทั่งก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มีมากจนเกินไป ก็ทำให้โลกเกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ฤดูกาลบิดเบี้ยวไม่เปลี่ยนผ่านร้อน ฝน หนาวเฉกเช่นเป็นมา
ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้น และได้มีการสนับสนุนให้นำรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย เพื่อลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง และช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้น ตลอดจนในยุคที่ทุกคนต้องประหยัดด้วยแล้ว การหันมาใช้รถไฟฟ้าแทนรถที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ก็จะช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าได้มากโข
ทว่าอุปสรรคสำคัญ ณ ตอนนี้คือ ราคารถยนต์ไฟฟ้ายังค่อนข้างสูง รวมถึงข้อจำกัดในเรื่องของสถานีชาร์จไฟ จึงอาจทำให้หลายคนลังเล นอกจากนี้ยังมีเรื่องเกี่ยวกับภาษีรถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ว่าจะต้องเสียเท่าไร จะคุ้มค่ากว่าใช้รถยนต์ปกติหรือไม่ ไปหาคำตอบพร้อมกัน
- ลดภาษีนำเข้า ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าราคาถูกลง
จากการที่หน่วยงานรัฐได้ให้การสนับสนุนคนไทยใช้รถยนต์ไฟฟ้า ดังนั้น ล่าสุดได้มีการเร่งศึกษารายละเอียดการปรับโครงสร้างภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า (EV) เนื่องจากภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าของแต่ละประเทศมีความแตกต่างกัน
เช่น ประเทศจีนได้รับสิทธิความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า ประเทศญี่ปุ่น เสียภาษีนำเข้า 20% ประเทศเกาหลีเสียภาษีนำเข้า 40% หรือบางประเทศในยุโรปยังเสียภาษีในอัตราสูงถึง 80% เพราะไม่มีความตกลงการค้าเสรีกับไทย
สำหรับมาตรการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ล่าสุดที่ประชุม ครม. ได้เคาะแพ็กเกจส่วนลดทางภาษี เพื่อส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า โดยสามารถจำแนกรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ราคาไม่เกิน 2 ล้าน
– ลดภาษีศุลกากร 40% อย่างเช่นประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีที่ต้องเสียภาษีนำเข้า 20% และ 40% ก็จะเสียภาษี 0%
– ลดภาษีสรรพสามิตจากเดิม 8% เหลือ 2%
– ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล วงเงินสูงสุดที่ 150,000 บาท โดยพิจารณาตามขนาดของแบตเตอรี่ เช่น
1) แบตเตอรี่ต่ำกว่า 30 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง ได้รับเงินอุดหนุนประมาณ 70,000 บาท
2) แบตเตอรี่มากกว่า 30 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง จะได้รับเงินอุดหนุน 150,000 บาท
2.กลุ่มรถไฟฟ้า (EV) ที่ราคามากกว่า 2 ล้านบาท
– ลดภาษีศุลกากร 40%
– ลดภาษีสรรพสามิตจากเดิม 8% เหลือ 2%
ดังนั้น เมื่อรวมส่วนลดภาษีต่างๆ แล้ว สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่มีราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท จะได้ส่วนลดประมาณ 500,000 บาท ส่วนรถไฟฟ้า (EV) ที่มีราคา 5-6 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นรถยุโรป จะได้ส่วนลดอยู่ที่ประมาณ 7-8 แสนบาท
- รถยนต์ไฟฟ้า…คิดภาษีประจำปีตามน้ำหนักรถ
หลังจากที่ตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้แล้ว เจ้าของรถยนต์ยังต้องมีหน้าที่เสียภาษีรถยนต์ไฟฟ้าประจำปีเช่นเดียวกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งแบ่งอัตราภาษีสำหรับรถไฟฟ้าเป็น 2 ประเภท คือ
1.รถยนต์ไฟฟ้า
สำหรับอัตราภาษีรถยนต์ไฟฟ้า ตาม พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ.2522 ได้กำหนดให้รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยกำลังไฟฟ้าเสียภาษีตามน้ำหนักของรถ ในอัตรารถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน ซึ่งถือว่าเป็นอัตราเดียวกับที่ใช้สำหรับรถกระบะ ดังนั้น จะถูกกว่ารถยนต์ส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน แบบใช้น้ำมันเชื้อเพลิง
โดยมีรายละเอียดอัตราภาษีรถยนต์ไฟฟ้าดังนี้
– น้ำหนักรถ 500 กิโลกรัม รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน เสียภาษี บาท
– น้ำหนักรถ 501-750 กิโลกรัม รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน เสียภาษี 300 บาท
– น้ำหนักรถ 751-1,000 กิโลกรัม รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน เสียภาษี 450 บาท
– น้ำหนักรถ 1,001-1,250 กิโลกรัม รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน เสียภาษี 800 บาท
– น้ำหนักรถ 1,251-1,500 กิโลกรัม รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน เสียภาษี 1,000 บาท
– น้ำหนักรถ 1,501-1,750 กิโลกรัม รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน เสียภาษี 1,300 บาท
– น้ำหนักรถ 1,751-2,000 กิโลกรัม รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน เสียภาษี1,600 บาท
– น้ำหนักรถ 2,001-2,500 กิโลกรัม รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน เสียภาษี 1,900 บาท
– น้ำหนักรถ 2,501-3,000 กิโลกรัม รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน เสียภาษี 2,200 บาท
– น้ำหนักรถ 3,001-3,500 กิโลกรัม รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน เสียภาษี 2,400 บาท
– น้ำหนักรถ 3,501-4,000 กิโลกรัม รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน เสียภาษี 2,600 บาท
– น้ำหนักรถ 4,001-4,500 กิโลกรัม รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน เสียภาษี 2,800 บาท
– น้ำหนักรถ 4,501-5,000 กิโลกรัม รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน เสียภาษี 3,000 บาท
– น้ำหนักรถ 5,001-6,000 กิโลกรัม รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน เสียภาษี 3,200 บาท
– น้ำหนักรถ 6,001-7,000 กิโลกรัม รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน เสียภาษี 3,400 บาท
– น้ำหนักรถ 7,001 กิโลกรัมขึ้นไป รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน เสียภาษี 3,600 บาท
2.รถไฟฟ้าประเภทอื่น
รถไฟฟ้าประเภทอื่นๆ เช่น รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า อัตราการเก็บภาษีประจำปี ให้เก็บภาษีอัตรากึ่งหนึ่งของข้อกำหนดการจัดเก็บตามน้ำหนัก หรือจัดเก็บเป็นรายคัน โดยแบ่งตามประเภทดังนี้
– รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล คันละ 100 บาท
– รถจักรยานยนต์สาธารณะ คันละ 100 บาท
– รถบดถนน คันละ 200 บาท
– รถแทรกเตอร์เพื่อใช้ในการเกษตร คันละ 50 บาท
- ใช้รถยนต์ไฟฟ้า…มีดีอย่างไร
ในอนาคตอันใกล้นี้ เมื่อราคารถยนต์ไฟฟ้าถูกลง ผู้คนเริ่มทยอยใช้รถยนต์ไฟฟ้ากันเป็นจำนวนมาก ประโยชน์ที่ได้รับไม่ใช่แค่เพียงผู้ใช้เอง แต่ยังส่งผลถึงสิ่งแวดล้อมอีกด้วย โดยสรุปประโยชน์ของการใช้รถยนต์ไฟฟ้าได้ดังนี้
– รถไฟฟ้าสามารถช่วยลดมลพิษได้ เพราะไม่มีการเผาไหม้จากพลังงานเชื้อเพลิงภายใน จึงไม่มีไอเสีย หรือควันออกสู่สิ่งแวดล้อม
– มอเตอร์ไฟฟ้าจะไม่ทำงานในขณะที่จอดรถ จอดติดสัญญาณไฟจราจร หรือขณะเกิดการจราจรติดขัด จึงช่วยลดมลพิษทางเสียง
– รถไฟฟ้ามีเสียงการทำงานของมอเตอร์ ที่เงียบกว่าเสียงเครื่องยนต์ของรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง จึงช่วยลดมลพิษทางเสียงได้
– การใช้รถไฟฟ้าจะสิ้นเปลืองน้อยกว่ารถยนต์ประเภทเครื่องยนต์สันดาปภายใน
– ประหยัดค่าซ่อมบำรุงที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ไฟฟ้าได้มากกว่ารถยนต์น้ำมันเชื้อเพลิง เช่น ไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง เพราะรถยนต์ไฟฟ้าไม่มีเครื่องยนต์ และชิ้นส่วนอะไหล่ของรถยนต์ไฟฟ้า มีจำนวนน้อยชิ้นกว่ารถยนต์ประเภทสันดาปภายใน
– รถยนต์ไฟฟ้าช่วยลดปัญหาความมั่นคงทางพลังงานของชาติ เนื่องจากสามารถช่วยลดการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงได้
สรุป
เมื่อชั่งน้ำหนักดูแล้วทั้งในเรื่องประโยชน์ ความคุ้มค่า และภาษีรถยนต์ไฟฟ้าที่ต้องเสีย อยากให้อดใจรอกันอีกนิด เมื่อหลักเกณฑ์ต่างๆ ผ่าน ทุกอย่างลงตัว ราคารถยนต์ไฟฟ้าถูกลงจับต้องได้ ผู้คนเริ่มหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ากันมากขึ้น เชื่อว่าประเทศไทยของเราจะต้องฟื้นคืนสภาพแวดล้อมที่ดีกลับมาอย่างแน่นอน
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ