บลูมเบิร์ก เปิดเผยรายงาน Long-Term Electric Vehicle Outlook: EVO มีข้อมูลว่า ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกในปี 2568 จะอยู่ที่ 21 ล้านคัน และวิ่งอยู่บนถนนรวม 71 ล้านคัน ส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันลดลง 2.5 ล้านบาร์เรล/วัน หรือราว 400 ล้านลิตร
ภาพโดย Mikes-Photography จาก Pixabay
รถยนต์ไฟฟ้าเติบโต ส่งผลเสียกับตลาดน้ำมัน
อ้างอิงข้อมูลรายงาน Long-Term Electric Vehicle Outlook: EVO ของ บลูมเบิร์ก พบว่า ยอดขายรถยนต์โดยสารไฟฟ้าจะเติบโตอย่างรวดเร็วในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โดยเพิ่มขึ้นจาก 6.6 ล้านคันในปี 2564 เป็น 21 ล้านในปี 2568 ตามความเป็นไปได้ของการขับเคลื่อนโดยการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจ
ส่วนจำนวนรถไฟฟ้าที่วิ่งบนถนนทั้งหมดจะเพิ่มขึ้นเป็น 77 ล้านคันในปี 2568 และ 229 ล้านคันในปี 2573 เพิ่มจาก 16 ล้านคัน เมื่อสิ้นปี 2564 ซึ่งสะท้อนความสำเร็จของการเปลี่ยนผ่านการใช้พลังงานสู่รถยนต์ไฟฟ้าที่เป็นมาจนถึงปัจจุบัน
การเติบโตครั้งนี้ส่งผลความต้องการใช้น้ำมันลดลง 1.5 ล้านบาร์เรล/วัน หรือราว 238 ล้านลิตร โดยส่วนใหญ่จะเป็นการปรับลดจากรถยนต์ไฟฟ้าสองล้อและสามล้อในภูมิภาคเอเชีย แต่ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าโดยสารที่กำลังเพิ่มขึ้นทำให้อัตราการลดลงของการใช้น้ำมันต่อวันเร็วขึ้นเป็น 2.5 ล้านบาเรล/วัน หรือราว 400 ล้านลิตร ภายในปี 2568
ช่วยโลกก้าวสู่การทำ Net Zero ได้จริง
โคลิน แมคเคอร์ราเชอร์ หัวหน้าทีมวิจัยการขนส่งล้ำยุคและนักเขียนหลักของรายงานฉบับนี้ กล่าวว่า รถยนต์ไฟฟ้าเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระดับโลกจากการภาคการขนส่ง มีสัญญาณที่เป็นบวกอย่างยิ่งว่าตลาดกำลังปรับไปในทิศทางที่ถูกต้อง แต่ว่าต้องมีนโยบายที่จะผลักดันเพิ่มขึ้น
โดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้วและองค์กรในระดับนานาชาติควรที่จะรวมการลงทุนในรถยนต์ไฟฟ้า การให้สิทธิประโยชน์ และการติดตั้งโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการชาร์จ เข้าสู่แผนงานด้านการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศในระดับโลก
บลูมเบิร์ก คาดว่า ในปี 2035 การใช้รถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกคาดว่าจะมีจำนวน 469 ล้านคัน แต่การใช้รถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกต้องเพิ่มเป็น 612 ล้านคันภายในช่วงเวลาเดียวกันหากขับเคลื่อนโดยการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจ ซึ่งความแตกต่างนี้จะสามารถผลักดันให้เกิดขึ้นได้ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่
รถยนต์สาธารณะคืออีกปัจจัยในการขับเคลื่อน
แบตเตอร์รี่ หรือ รถยนต์ไฟฟ้าแบบ Fuel Cell จะเป็นทางออกที่ดีกว่าสำหรับการขนส่งสินค้าในระยะทางไกลของรถบรรทุกขนาดใหญ่ โดยเฉพาะกรณีการใช้งานที่จำกัดปริมาณ การให้พลังงานไฟฟ้าผ่านแบตเตอรี่โดยตรงจะเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพและได้ผลคุมค่ามากที่สุดในการที่จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของการขนส่งทางถนน
อย่างไรก็ตามการจะไป Net Zero ได้ การใช้การขนส่งสาธารณะ การเดิน ขี่จักรยาน หรือมาตรการอื่น ๆ เท่าที่จะทำได้คืออีกตัวแปรสำคัญ และการลดลงของการเดินทางด้วยรถยนต์ 10% ภายในปี 2593 จะทำให้มีจำนวนรถบนถนนลดลง 200 ล้านคัน และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์รวมเป็น 2.25 กิกะตันด้วย
สุดท้ายแล้วปัจจัยที่กำลังส่งผลให้ต้นทุนแบตเตอรี่สูงขึ้น เช่น สงคราม เงินเฟ้อ หรือความตึงเครียดทางการค้า กำลังผลักดันให้ราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลเพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ซึ่งจะทำให้ผู้บริโภคมีความสนใจในตลาดรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น และเพิ่มโอกาสการจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าจากค่ายผู้ผลิตต่าง ๆ เช่นกัน
ที่มา brandinside