องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization of the United Nations :FAO) รายงานว่า ราคาข้าวในตลาดโลกในเดือนสิงหาคมพุ่งสูงขึ้นเกือบ 10% จากเดือนกรกฎาคม โดยดัชนีราคาข้าวรวม(All Rice Price Index )ของ FAO เพิ่มขึ้น 9.8% จากเดือนกรกฎาคม สู่ระดับสูงสุดในรอบ 15 ปี เป็นผลจากการค้าที่ชะงักหลังจากการห้ามส่งออกข้าวขาว Indica ของอินเดีย ซึ่งเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดของโลก
ในรายงานของ FAO ซึ่งเผยแพร่วันที่ 8 กันยายน ระบุว่า ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับระยะเวลาของการห้ามส่งออกและความกังวลเกี่ยวกับข้อจำกัดในการส่งออก ส่งผลให้ผู้มีบทบาทในห่วงโซ่อุปทานต้องกักตุนปริมาณข้าวไว้ รวมทั้งมีการเจรจาสัญญาใหม่ หรือหยุดเสนอราคา ดังนั้นจึงจำกัดการค้าส่วนใหญ่ให้เหลือเพียงปริมาณเล็กน้อยและเป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้
ส่วนผลผลิตข้าวโลกในปี 2566/67 แม้จะมีการปรับลดลงเล็กน้อยตั้งแต่เดือนกรกฎาคม แต่ยังคงฟื้นตัว 1.1% จากฤดูกาลที่แล้ว
FAO ยังคาดว่า สต็อกข้าวทั่วโลกจะแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 198.1 ล้านตัน โดยส่วนใหญ่เป็นของอินเดียกับจีน ที่คาดว่าจะมีสัดส่วนรวมกันกือบ 3 ใน 4 ของสต็อกทั้งหมด เช่นเดียวกับในฤดูกาลที่แล้ว ปริมาณข้าวสำรองโดยรวมจากประเทศอื่นๆ ที่มีในมือในสิ้นปีนี้ จะหดตัวติดต่อกันเป็นครั้งที่สอง โดยแตะระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปีที่ 51.4 ล้านตัน
FAO ยังได้ปรับลดการคาดการณ์การค้าข้าวโลกลงจากตัวเลขเดือนกรกฎาคม เมื่อพิจารณาจากการที่อินเดียจำกัดการส่งออกมากขึ้น แม้ว่าระยะเวลาของข้อจำกัดเหล่านี้และขอบเขตการบังคับใช้จะไม่แน่นอน แต่หากยืดเยื้อและหากปรากฏการณ์เอลนีโญทำให้เกิดข้อจำกัดด้านการผลิตในกลุ่มผู้ส่งออกอื่นๆ ในเอเชีย ก็อาจทำให้การค้าข้าวฟื้นตัวตามที่คาดการณ์ไว้ในปี 2567 ได้ในระดับปานกลาง
สำหรับราคาสินค้าโภคภัณฑ์อาหารระหว่างประเทศลดลงในเดือนสิงหาคม นำโดยอาหารหลักอื่นๆ นอกเหนือจากข้าวและน้ำตาล โดยดัชนีราคาอาหาร(Food Price Index)ของ FAO ซึ่งติดตามการเปลี่ยนแปลงรายเดือนของราคาระหว่างประเทศของสินค้าอาหารที่ซื้อขายทั่วโลก อยู่ที่ 121.4 จุดในเดือนสิงหาคม ลดลง 2.1% จากเดือนกรกฎาคม และต่ำกว่าจุดสูงสุดในเดือนมีนาคม 2565 มากถึง 24%
ดัชนีราคาน้ำมันพืช(Vegetable Oil Price Index)ของ FAO ลดลง 3.1% ในเดือนสิงหาคม ฟื้นตัวขึ้นมาบ้างจากที่ร่วงลง 12.1% ในเดือนกรกฎาคม ราคาน้ำมันดอกทานตะวันในตลาดโลกลดลงเกือบ 8% ในช่วงเดือนสิงหาคม ท่ามกลางความต้องการนำเข้าทั่วโลกที่ลดลงและการเสนอขายปริมาณมากจากผู้ส่งออกรายใหญ่ ราคาน้ำมันถั่วเหลืองทั่วโลกลดลงเนื่องจากภาวะการปลูกถั่วเหลืองในสหรัฐอเมริกาดีขึ้น ในขณะที่ราคาน้ำมันปาล์มลดลงปานกลางท่ามกลางผลผลิตที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาลในประเทศผู้ผลิตชั้นนำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ดัชนีราคาธัญพืช(Cereal Price Index ) ลดลง 0.7% จากเดือนกรกฎาคม ราคาข้าวสาลีในตลาดโลกลดลง 3.8% ในเดือนสิงหาคม ท่ามกลางความพร้อมตามฤดูกาลที่สูงขึ้นจากผู้ส่งออกชั้นนำหลายราย ในขณะที่ราคาธัญพืชหยาบระหว่างประเทศลดลง 3.4% จากอุปทานข้าวโพดทั่วโลกที่เพียงพอจากการเก็บเกี่ยวในบราซิลและการเก็บเกี่ยวที่ใกล้จะเริ่มในสหรัฐอเมริกา
ดัชนีราคาผลิตภัณฑ์นม(Dairy Price Index)ลดลง 4.0% จากเดือนกรกฎาคม นำโดยการเสนอราคาระหว่างประเทศของนมผงเต็มไขมัน(whole milk
powder) ราคาเนยและชีสระหว่างประเทศก็ลดลงเช่นกัน ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากไม่ค่อยมีกิจกรรมทางการตลาด ในช่วงวันหยุดฤดูร้อนในยุโรป
ดัชนีราคาเนื้อสัตว์(Meat Price Index)ของ FAO ลดลง 3.0% ราคาโคในตลาดโลกลดลงมากที่สุด มาจากความพร้อมในการส่งออกที่เพิ่มขึ้นซึ่งส่วนใหญ่มาจากออสเตรเลียและความต้องการที่ลดลงจากจีน อุปทานที่แข็งแกร่งยังส่งผลให้ราคาเนื้อสุกร เนื้อสัตว์ปีก และวัวลดลงอีกด้วย
ดัชนีราคาน้ำตาลของ FAO เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3 จากเดือนกรกฎาคม โดยเฉลี่ยในเดือนสิงหาคมซึ่งสูงกว่ามูลค่าของปีที่แล้วถึงร้อยละ 34.1 การเพิ่มขึ้นดังกล่าวมีสาเหตุหลักมาจากความกังวลที่เพิ่มมากขึ้นเกี่ยวกับผลกระทบของปรากฏการณ์เอลนีโญต่อพืชไร่อ้อย ร่วมกับฝนที่ตกต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในเดือนสิงหาคม และสภาพอากาศแห้งอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย พืชผลขนาดใหญ่ที่กำลังเก็บเกี่ยวอยู่ในบราซิลจำกัดแรงกดดันที่สูงขึ้นต่อราคาน้ำตาลระหว่างประเทศ เช่นเดียวกับราคาเอทานอลที่ลดลง และการอ่อนค่าของเงินเรียลบราซิล
ดัชนีราคาน้ำตาล(Sugar Price Index)ของ FAO เพิ่มขึ้น 1.3% จากเดือนกรกฎาคม เฉลี่ยแล้วในเดือนสิงหาคมสูงกว่ามูลค่าของปีที่แล้วถึง 34.1% การที่เพิ่มขึ้นมาก มาจากความกังวลที่สูงขึ้นต่อผลกระทบของปรากฏการณ์เอลนีโญต่อพืชไร่อ้อย ร่วมกับฝนที่ตกต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในเดือนสิงหาคม และสภาวะอากาศแล้งอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย แต่การเก็บเกี่ยวพืชผลปริมาณมากที่กำลังมีขึ้นในบราซิลจำกัดแรงกดดันที่สูงขึ้นต่อราคาน้ำตาลระหว่างประเทศ เช่นเดียวกับราคาเอทานอลที่ลดลง และการอ่อนค่าของเงินเรียลบราซิล
การผลิตธัญพืชแตะระดับสูงสุดอีกรอบปีนี้
FAO ยังเผยแพร่รายงานสรุปอุปสงค์และอุปทานธัญพืชฉบับใหม่ ซึ่งคาดการณ์ว่าการผลิตธัญพืชทั่วโลกในปี 2566 จะเพิ่มขึ้น 0.9% จากปีก่อนหน้าเป็น 2,815 ล้านตัน ซึ่งเท่ากับระดับผลผลิตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2564
ในขณะที่การผลิตข้าวสาลีทั่วโลกน่าจะลดลง 2.6% จากปี 2565 แต่ผลผลิตรวมของธัญพืชหยาบคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2.7% โดยการผลิตข้าวโพดทำสถิติใหม่ที่ 1,215 ล้านตัน โดยได้แรงหนุนจากผลผลิตที่แข็งแกร่งในบราซิลและยูเครน
ในขณะที่การผลิตข้าวสาลีทั่วโลกถูกกำหนดให้ลดลง 2.6 เปอร์เซ็นต์จากปี 2022 แต่ผลผลิตรวมของธัญพืชหยาบคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2.7 เปอร์เซ็นต์ โดยการผลิตข้าวโพดทำสถิติใหม่อยู่ที่ 1,215 ล้านตัน โดยได้แรงหนุนจากผลผลิตที่แข็งแกร่งในบราซิลและยูเครน
การใช้ธัญพืชทั่วโลกในฤดูกาลหน้าคาดว่าจะอยู่ที่ 2,807 ล้านตัน ซึ่งสูงกว่าระดับปี 2565/66 ราว 0.8%
สต็อกธัญพืชทั่วโลกในช่วงสิ้นสุดฤดูกาลการตลาดปี 2566/67 คาดว่าจะอยู่ที่ 878 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 2.2% ต่อปี ส่งผลให้อัตราส่วนสต็อกธัญพืชทั่วโลกต่อการใช้อยู่ที่ 30.5% ซึ่ง FAO มองว่า “โดยรวม อุปทานทั่วโลกอยู่ในระดับที่วางใจได้ เมื่อมองจากข้อมูลย้อนหลัง”
FAO ปรับลดคาดการณ์การค้าธัญพืชโลกในปี 2566/2567 เหลือ 466 ล้านตัน ลดลง 1.7% จากช่วงการเปิดการตลาดครั้งก่อน ปริมาณการซื้อขายข้าวสาลีและข้าวโพดคาดว่าจะลดลง จากหลายสาเหตุ รวมทั้งการส่งออกที่ลดลงของยูเครนเนื่องจากการหยุดชะงักทางการค้าที่เป็นผลจากสงครามที่ยังมีอยู่
ที่มา ไทยพับลิก้า