ส.อ.ท. เปิดผลสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 16 ในเดือนมีนาคม 2565 ภายใต้หัวข้อ “โพล ส.อ.ท. หนุนทบทวนปรับขึ้นค่า Ft” จากสมาชิก ส.อ.ท. จำนวน 460 บริษัท
นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า จากผลกระทบของการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการดำเนินธุรกิจตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ตลอดจนวิกฤตความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่สงครามยังคงยืดเยื้อ ทำให้ราคาพลังงานพุ่งสูงขึ้นและส่งผลทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว
ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ยังคงกดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มผู้บริหารลงความเห็นว่า ภาครัฐจำเป็นที่จะต้องเร่งดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนผู้ประกอบการให้สามารถผ่านพ้นวิกฤตในช่วงนี้ เช่น การทบทวนการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปร(Ft) ลดภาษีนำเข้าวัตถุดิบที่จำเป็นต่อภาคการผลิต ส่งเสริมการพัฒนาการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ ผลักดันระบบการจ่ายค่าแรงตามทักษะ สนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีนัยสำคัญต่อการดึงดูดนักท่องเที่ยว เป็นต้น
จากการสำรวจ FTI Poll จำนวน 460 บริษัท ครอบคลุมผู้ประกอบการจาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรมและ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด มีสรุปผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 16 จำนวน 5 คำถาม ดังนี้
1. ภาครัฐควรดำเนินมาตรการเพื่อรองรับผลกระทบจากราคาพลังงานแพงอย่างไร
อันดับที่ 1 : ทบทวนการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) 68.30%
อันดับที่ 2 : ออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME เช่น ส่วนลดค่าไฟฟ้า 57.60%
อันดับที่ 3 : สนับสนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำสำหรับการปรับเปลี่ยนเครื่องจักร/อุปกรณ์ เพื่อการประหยัดพลังงาน 55.00%
อันดับที่ 4 : เพิ่มสิทธิประโยชน์ BOI สำหรับการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานทดแทน ให้สามารถยกเว้นภาษีได้ 100% ของเงินลงทุน 50.90%
อันดับที่ 5 : โครงการคืนผลประหยัดไฟฟ้าที่ลดได้ให้กับผู้ใช้ไฟฟ้า (Demand Response) 48.50%
2. ภาครัฐควรดำเนินการแก้ไขปัญหาวัตถุดิบขาดแคลน และวัตถุดิบแพงอย่างไร
อันดับที่ 1 : ลดภาษีนำเข้าวัตถุดิบที่จำเป็นต่อภาคการผลิต 63.90%
อันดับที่ 2 : ปลดล๊อคเงื่อนไขและโควต้าการนำเข้าวัตถุดิบโดยเฉพาะในวัตถุดิบที่ขาดแคลน 63.00%
อันดับที่ 3 : ควบคุมและดูแลราคาสินค้าไม่ให้มีการฉวยโอกาสปรับราคาเกินจริง 53.50%
อันดับที่ 4 : สนับสนุนให้ผู้ส่งออกวัตถุดิบขาดแคลนให้มาจำหน่ายภายในประเทศก่อน 46.70%
อันดับที่ 5 : สนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำให้ผู้ประกอบการ เพื่อเสริมสภาพคล่องธุรกิจ 42.40%
3. ภาครัฐควรดำเนินการเพื่ออำนวยความสะดวกและลดอุปสรรคด้านการส่งออกที่เป็นเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างไร
อันดับที่ 1 : ส่งเสริมการพัฒนาการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ (Multimodal Transport) ในภูมิภาค 71.10% เช่น ทางราง, ทางเรือ เป็นต้น
อันดับที่ 2 : เร่งการเชื่อมโยงใบอนุญาต/ใบรับรองต่างๆ ของกลุ่มสินค้าหลัก ในระบบ National Single Window (NSW) 57.60%
อันดับที่ 3 : ส่งเสริมและพาผู้ประกอบการออกไปเปิดตลาดที่ไทยมีศักยภาพ 57.20%
อันดับที่ 4 : ผลักดันการเปิดด่านชายแดนที่ถูกปิดช่วงโควิดและยกระดับด่านชายแดน เพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้า 54.60%
อันดับที่ 5 : ผลักดันการใช้เงินสกุลท้องถิ่น (Local currency) ในการค้าขายผ่านชายแดน 27.20%
4. ภาครัฐควรปรับปรุงการบริหารจัดการแรงงาน และแก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงานอย่างไร
อันดับที่ 1 : ผลักดันระบบการจ่ายค่าแรงตามทักษะ (Pay by Skill) แทนค่าแรงขั้นต่ำ 71.10%
อันดับที่ 2 : เร่งพิจารณาเปิดการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวที่ผิดกฎหมาย ให้ถูกต้องตามกฎหมายอีกครั้ง 60.00%
อันดับที่ 3 : ขอให้ภาครัฐหารือกับรัฐบาลประเทศต้นทางในระดับรัฐมนตรีเพื่อเร่งรัดการนำเข้า แรงงานต่างด้าวภายใต้ MOU โดยเร็ว 54.60%
อันดับที่ 4 : ปรับลดค่าใช้จ่ายการนำเข้าแรงงานต่างด้าว 51.70% เช่น ค่าตรวจ COVID-19 เปลี่ยนการตรวจด้วยวิธี RT-PCR เป็นการตรวจด้วยวิธี ATK, ลดค่าสถานที่กักตัวและลดระยะเวลากักตัว เป็นต้น
อันดับที่ 5 : พิจารณาปรับขั้นตอนการเปลี่ยนนายจ้างของแรงงานต่างด้าวภายใต้ MOU ให้มีความรัดกุม เพื่อป้องกันการแย่งคนงานระหว่างผู้ประกอบการ 49.80%
5. ภาครัฐควรเร่งดำเนินมาตรการใดเพื่อส่งเสริมการเปิดประเทศและกระตุ้นเศรษฐกิจไทย
อันดับที่ 1 : สนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีนัยสำคัญต่อการดึงดูดนักท่องเที่ยว 64.10%
อันดับที่ 2 : ปรับกระบวนการออกใบอนุญาต Work permit เพื่ออำนวยความสะดวก และดึงแรงงานทักษะสูงเข้ามาทำงานในประเทศ 60.40%
อันดับที่ 3 : ผ่อนปรนเงื่อนไขและเพิ่มมาตรการจูงใจนักลงทุนศักยภาพให้เข้ามาลงทุน และอาศัยในประเทศ (Long Stay) 60.20%
อันดับที่ 4 : เร่งพิจารณายกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล (Capital Gain Tax) สำหรับธุรกิจ Start up ให้มาลงทุนในไทยมากขึ้น 53.00%
อันดับที่ 5 : ยกเลิกมาตรการ Test & Go และอำนวยความสะดวกในการเดินทางเข้าประเทศ 50.00%
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ