หลังจบวิกฤติโควิด-19 โลกจะเปลี่ยนโฉมหน้าไปอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนแน่นอน ธุรกิจแบบดั้งเดิมจะโดนดิสรัปในอัตราเร่ง 30-40% ใครปรับตัวไม่ได้ย่อมถูกทิ้ง!! โควิดยังเร่งการปฏิรูปองค์กรสู่ยุค 4.0 ให้เกิดเร็วขึ้นทวีคูณ ในฐานะ ผู้นำวิสัยทัศน์ไกล “ศุภชัย เจียรวนนท์” พร้อมขับเคลื่อนองค์กร “ทรู คอร์ปอเรชั่น” ทะยานสู่โลกยุคใหม่หลังไวรัสระบาดทั่วโลก โดยพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสทอง นำองค์ความรู้ของทรูไปสร้างมูลค่าใหม่ เพื่อพิชิตเป้าหมายการเป็นผู้ประกอบการใหญ่ระดับภูมิภาคและระดับโลก ประกาศให้รู้ว่าบริษัทสัญชาติไทยก็สามารถสร้างโซลูชันแพลตฟอร์มเจ๋งๆของตัวเองได้ ไม่ง้อมหาอำนาจตะวันตก
“ผมคิดว่าหลังวิกฤติโควิด-19 คงมีการปรับตัวเยอะมาก การทำงานที่ไม่ได้อยู่ในจุดฟรอนต์ไลน์ หรืออุตสาหกรรมการผลิตและบริการ เช่น การตลาด, การขาย, วางแผน, แบล็กออฟฟิศต่างๆจะเปลี่ยนไปเยอะ เพราะทุกอย่างสามารถทำได้ทางออนไลน์ องค์กรที่ไม่สามารถปรับตัวให้เข้าสู่การขายและบริการทางออนไลน์ ก็จะสูญเสียฐานลูกค้า เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคถูกเร่งให้เปลี่ยน แม้กระทั่งหลายธุรกิจที่กำลังถูกดิสรัปโดย “ดิจิทัล อีโคโนมี” ก็โดนเร่งให้เปลี่ยนเร็วขึ้น หลังจบโควิดสัดส่วนของอีคอมเมิร์ซจะสูงขึ้นมาก วิธีทำงานที่เป็นแบล็กออฟฟิศจะเปลี่ยนไปเป็นทำงานจากที่ไหนก็ได้ รวมถึงทำงานจากที่บ้าน
กระทั่งคอลเซ็นเตอร์ หรือบริการหลังการขาย ก็สามารถทำงานจากที่บ้าน มิติของการทำงานทางออนไลน์เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของทุกอุตสาหกรรมจะสูงขึ้นเรื่อยๆ โอกาสของการขายและทำการตลาดจะมาทางออนไลน์ซะส่วนใหญ่ ธุรกิจแบบดั้งเดิมที่เคยถูกดิสรัปแค่ 10% ผมเชื่อว่าหลังจบโควิดจะโดนดิสรัปในอัตราเร่ง 30-40% โควิดยังเร่งการปฏิรูปองค์กรสู่ยุค 4.0 ให้เกิดเร็วขึ้น คนที่ไม่ปรับตัวเลยยังไงก็ต้องสูญเสียส่วนแบ่งตลาด”…ประธานกรรมการค่ายทรู คอร์ปอเรชั่น ฉายให้เห็นภาพอนาคตไม่มีวันเหมือนเดิม
ต้องปรับตัวยังไงถึงจะรอดในยุควิกฤติโควิดครองโลก
ผมอยากให้มองว่าในทุกวิกฤติล้วนมีโอกาส มันอยู่ที่ว่าเรามองออกไหมว่าเมื่อมันเปลี่ยนจากจุดนี้ไปอีกจุด เราควรจะเตรียมการยังไง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชีวิตส่วนตัว หรือธุรกิจที่ทำอยู่ เราจะเห็นโอกาสใหม่ๆเสมอ คนฉลาดที่สุดแข็งแรงที่สุด ไม่ใช่คนประสบความสำเร็จที่สุดในยุคนี้ แต่คนปรับตัวได้ทุกสถานการณ์ คือคนประสบความสำเร็จที่สุด เรื่องของทัศนคติก็สำคัญ เราเห็นโอกาสจากวิกฤติไหม หรือเวลาเจอวิกฤติแล้วเห็นแต่ปัญหา จริงอยู่งานบางงานอาจหายไป แต่ก็ยังมีโอกาสสำหรับงานใหม่ๆ เช่น ดิจิทัลมาร์เกตติ้ง, งานโลจิสติกส์ และงานออกแบบเว็บไซต์ ผมอยากให้ทุกคนเปลี่ยนความกังวลใจและความกลัวเป็นแรงขับเคลื่อนให้ลงมือทำเรื่องใหม่ๆเพื่อพัฒนาศักยภาพตัวเอง ขณะเดียวกัน ต้องวางแผนชีวิตและตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน เช่น ใช้เวลาในช่วงวิกฤติเตรียมตัวเองให้พร้อมที่สุด ตอนนี้มหาวิทยาลัยทั่วโลกเปิดสอนโปรแกรมดีๆทางออนไลน์ เรารู้แล้วว่าสกิลใหม่ที่ควรสร้างคืออะไร ก็ต้องเรียนรู้มันให้ได้ เพื่อให้มีภาษีสูงขึ้นในอนาคต
ให้เวลาตัวเองกี่ปีคะ เพื่อจะก้าวขึ้นเป็นผู้ประกอบการระดับโลก
ผมตั้งเป้าไว้ 3 ปี เป้าหมายไม่ใช่แค่เป็นที่หนึ่งในประเทศไทยแล้ว แต่ทรูอยากเป็นผู้ประกอบการใหญ่ในระดับภูมิภาคและระดับโลก เราจึงเบนเข็มสู่การสร้างโซลูชันแพลตฟอร์ม และคลาวด์เทคโนโลยี เพื่อนำองค์ความรู้ของเราไปสร้างมูลค่าใหม่ให้เกิดขึ้นในประเทศและต่างประเทศ ถ้ามัวแต่ห่วงเรื่องกินส่วนแบ่งตลาดกันไปมา แต่ไม่ได้เพิ่มมูลค่าใหม่ อันนี้เป็นที่หนึ่งไปก็ไม่ใช่เป้าหมายของเรา ทำยังไงถึงจะเพิ่มมูลค่าใหม่ให้ประเทศ และเพิ่มมูลค่าใหม่ให้โลก นี่คือภารกิจสำคัญ ทรูจะไม่ใช่แค่โอเปอเรเตอร์โทรคมนาคม แต่เราจะต้องเป็นผู้ประกอบการที่สร้างและพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองได้ โดยเฉพาะคลาวด์เทคโนโลยี, AI, เดต้า อนาไลซิส และดิจิทัล มีเดีย เวลาพูดถึง 5G ดูเหมือนเป็นกระแสสำคัญ แต่ 5G วางมาตรฐานโดยมหาอำนาจโลก ไทยเราเป็นแค่ผู้ใช้เทคโนโลยี ผมเชื่อว่า ในอนาคตการสร้างเทคโนโลยีของตัวเอง และขับเคลื่อนองค์กรโดยใช้เทคโนโลยีด้านข้อมูล น่าจะเป็นเรื่องใหญ่ของทุกองค์กร
มีความคืบหน้าขนาดไหน เพื่อมุ่งสู่การเป็นผู้นำโซลูชัน แพลตฟอร์ม
เราได้สร้างโซลูชันแพลตฟอร์ม แรกในโลก ที่มีฟังก์ชันการใช้งานครบทุกด้าน ภายใต้คอนเซปต์ “True Virtual World” หรือ “True VWorld” พาทุกคนก้าวผ่านสู่โลกใหม่ของชีวิตครบโซลูชัน พร้อมทำงาน, พร้อมเรียนรู้ และใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ ทุกที่ทุกเวลาตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา ทรูได้ดิจิทัลไลเซชันตัวเองเพื่อพัฒนาเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยดิจิทัล และมีความเชื่อมโยงแบบออนไลน์ทั้งหมด ตั้งแต่การให้บริการลูกค้า ไปจนถึงการบริหารงานภายในองค์กร แต่เมื่อเกิดวิกฤติโควิด-19 จึงเห็นว่าองค์ความรู้ใหม่และเทคโนโลยีที่เราสร้างขึ้นมาใช้ในองค์กร น่าจะนำมาประกอบร่างใหม่ เพื่อแบ่งปันให้องค์กรอื่นๆ นำไปใช้ประโยชน์ด้วย ทั้งภาครัฐ, ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา
โลกใหม่ของ “True VWorld” จะเปลี่ยนไลฟ์สไตล์คนไทยขนาดไหน
ภายใต้โซลูชันแพลตฟอร์มนี้ ประกอบด้วย 4 ส่วน คือ “VWork (Work at Home)” เป็นแพลตฟอร์มบริหารจัดการงานด้านต่างๆ ขององค์กร และการทำงานจากที่บ้านอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีครบทุกฟังก์ชันสำหรับการใช้งานที่เดียว ทั้ง Vroom ประชุมออนไลน์ไม่จำกัดเวลา, VWorktools ทำงานได้ทุกที่ ง่ายในการจัดการ, VWork เชื่อมโยงการทำงานในองค์กร ให้ทำงานที่บ้านได้ตลอดเวลา โดยสามารถตั้งกลุ่มและส่งข้อความแชตคุยงาน, สั่งงาน, วางแผนงาน, ขอดำเนินการ และอนุมัติ รับส่งไฟล์งาน แจ้งข่าวสำคัญและประกาศขององค์กร ตลอดจนประชุมออนไลน์ ทำให้โปรดักทิวิตี้สูงขึ้น ส่วนที่สองได้แก่ “VLearn (Learn at Home)” เป็นแพลตฟอร์มบริหารจัดการชั้นเรียน และการเรียนการสอนจากที่บ้านอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างห้องเรียนดิจิทัล จัดการเรียนการสอนผ่านระบบออนไลน์ สำหรับ “VLive (Live at Home)” เป็นแพลตฟอร์มเพื่อการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพที่บ้าน ทั้งความบันเทิง และช็อปปิ้งออนไลน์ นอกจากนี้ ยังมี “VShare” ที่ให้ทุกคนได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ทุกที่ทุกเวลา เปิดพื้นที่ให้ร่วมแบ่งปันข้อมูลและความรู้ที่น่าสนใจ
งานช้างระดับชาติขนาดนี้ ทำไมกลุ่มทรูถึงรับภาระบุกเบิก
เราอยากประกาศว่าบริษัทไทยก็สามารถสร้างโซลูชันแพลตฟอร์มที่ซับซ้อนได้ เมื่อไหร่มีการนำไปใช้อย่างแพร่หลายในภาครัฐ, ภาคเอกชนและภาคการศึกษา ผมคิดว่าแพลตฟอร์มนี้จะสามารถเติบโตเป็นโกลบอลโซลูชันระดับโลก
คนไทยพร้อมหรือยังที่จะใช้แพลตฟอร์มล้ำเทรนด์ขนาดนี้
มีทั้งที่พร้อมและไม่พร้อม คนอายุน้อยกว่า 45 น่าจะพร้อม ขณะที่คนทำงานจบใหม่ก็พร้อมเข้ามาทดแทนรูปแบบสกิลเดิมๆ ซึ่งหนักไปทางออนไลน์เซอร์วิส, การตลาดออนไลน์, การเขียนซอฟต์แวร์, วิเคราะห์ข้อมูล และความเข้าใจเรื่องฐานลูกค้า ต่อไปองค์กรจะปรับตัวได้เร็วขึ้น เพราะเวิร์กฟอร์ซใหม่ช่วยแนะนำเวิร์กฟอร์ซเก่า เด็กรุ่นใหม่จะช่วยให้ประเทศเราปรับตัวเร็วขึ้น ทำให้เจเนอเรชันเก่าที่ไม่ทันโลกปรับตัวตามได้ดีขึ้น เพราะพวกเขาจะเอาไปสอนพ่อแม่ปู่ย่าตายายที่บ้าน
แนวโน้มนี้จะนำไปสู่การลดจำนวนสาขาบริการ และลดพนักงานทรูไหมคะ
เป็นไปได้มากครับ ต่อไปอาจไม่จำเป็นต้องมาจ่ายเงินและใช้บริการหน้าร้าน แทรฟฟิกตรงนี้จะหายไป 40-50% จุดบริการตามห้างอาจลดสาขาลง แต่ไปขยายจุดเล็กๆใกล้บ้านคนแทน เช่น เปิดช็อปในเทสโก้ โลตัส และเซเว่น อีเลฟเว่น คนออฟไลน์ต้องโยกไปทำงานออนไลน์ ถ้าใครปรับตัวไม่ได้อันนี้มีปัญหา
ช่วงโควิดแบบนี้ ต้องมาเวิร์กฟรอมโฮม ชีวิตเปลี่ยนไปมากไหมคะ
ตอนทำงานอยู่ที่บ้านใหม่ๆแย่กว่าเดิม จากทำงานออฟฟิศเดินไม่ถึงพันก้าว อยู่บ้านเหลือไม่กี่สิบก้าว ฉะนั้น ต้องตั้งเป้าหมายให้ตัวเอง มีวินัยว่าจะออกกำลังกายวันเว้นวัน ทำให้ได้วันละ 8,000 ก้าว นอกจากเดินและวิ่งช้าๆ ผมยังวิดพื้นบนแท่นยึดพื้น และชกกระสอบทราย โชคดีที่น้ำหนักไม่ขึ้น เพราะกินแค่มื้อเช้ากับมื้อเที่ยง สำหรับผมการทำงานที่บ้านทำให้มีเวลามากขึ้น การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น มีวินัยมากขึ้น ต้องถามตัวเองว่าเราใช้เวลาของเราอย่างมีค่าไหม โดยเฉพาะกับคนที่เรารัก ช่วงนี้เป็นช่วงที่เราจะมีเวลาให้กันมาก หลายคนต้องทำงานที่บ้าน น่าจะถือโอกาสนี้ใช้เวลาให้มีค่ากับครอบครัว
อะไรคือความฝันอันยิ่งใหญ่ของลูกผู้ชายชื่อศุภชัย
คุณพ่อผมเป็นตัวอย่างที่ดีของความเป็นนักบุกเบิกนักสู้ คนที่มองส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ควบคู่ไปกับความสำเร็จของตัวเอง ผมจึงเชื่อมาตลอดว่า การเป็นตัวอย่างที่ดีเป็นเรื่องสำคัญ เราไม่จำเป็นต้องเป็นซีอีโอองค์กรขนาดใหญ่ ก็สามารถสร้างแรงบันดาลใจดีๆให้คนอื่น ตามสถิติในชั่วชีวิตหนึ่งของเราจะพบคนราว 80,000 คน สมมติเราสามารถสร้างอิมแพคให้คนรอบตัวได้ 100 คน และคน 100 คนนั้น สร้างอิมแพคให้คนได้อีก 100 คน ก็จะกลายเป็นหมื่นคน แล้วถ้าหมื่นคนนั้นสร้างอิมแพคให้คนได้อีก 100 คน ก็จะกลายเป็นล้านคน จากล้านคนนั้น สร้างอิมแพคให้คนอีก 100 คน ก็จะเป็น 100 ล้านคน ถ้าคน 100 ล้านคน สร้างอิมแพคให้คนอีก 100 คน คราวนี้เกินจำนวนประชากรโลกแล้วครับ ผมจะบอกว่าแค่เราเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกหลาน, เพื่อนร่วมงาน และคนในชุมชน ทุกคนก็สามารถเปลี่ยนโลกให้น่าอยู่ขึ้นได้ ถ้าถามว่าฝันของผมคืออะไร ผมอยากสร้างคุณประโยชน์ให้สังคม, ประเทศชาติ และโลก ทำยังไงจึงจะสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการถ่ายทอดองค์ความรู้ใหม่ และคุณค่าที่ดีงาม ไปสู่รุ่นลูกหลานเหลนของเราได้
Cr: thairath