ภาพโดย Rudy and Peter Skitterians จาก Pixabay
ผลสำรวจ 2022 CEO Outlook ซึ่งจัดทำโดย KPMG ที่สำรวจความคิดเห็นจากซีอีโอ 1,300 คนทั่วโลก พบว่ามากกว่า 8 ใน 10 ส่วนของซีอีโอ คาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในอีก 12 เดือนข้างหน้า โดยกว่าครึ่งคาดว่าจะไม่รุนแรงและเป็นระยะเวลาสั้นๆ และจะฟื้นตัวในระยะเวลา 3 ปี
การสำรวจ KPMG 2022 CEO Outlook ซึ่งสอบถามซีอีโอมากกว่า 1,300 คนจากองค์กรที่ใหญ่ที่สุดของโลกเกี่ยวกับกลยุทธ์และมุมมองในอนาคต พบว่า ผู้นำ 58% คาดว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะเกิดขึ้นเป็นระยะเวลาสั้นๆ และไม่รุนแรง ผู้บริหารระดับสูง 14% ระบุว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยเป็นหนึ่งในข้อกังวลเร่งด่วนที่สุดในปัจจุบัน เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากต้นปี 2565 (9%) ในขณะที่ความเหนื่อยล้าจากการที่ต้องอยู่กับโรคระบาดมาเป็นเวลานาน อยู่ในอันดับต้น (15%)
ในปี 2023 ซีอีโอทั่วโลกมากกว่า 8 ใน 10 คน (86%) คาดการณ์ว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดย 71% คาดการณ์ว่าจะส่งผลกระทบต่อรายได้ของบริษัทสูงถึง 10% ผู้บริหารระดับสูงส่วนใหญ่เชื่อว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตที่คาดการณ์ไว้ (73%) อย่างไรก็ตาม 3ใน 4 (76%) ได้มีการดำเนินการเพื่อป้องกันองค์กรจากภาวะเศรษฐกิจที่จะถดถอยไปเรียบร้อยแล้ว
แม้จะมีข้อกังวลเหล่านี้ ผู้บริหารระดับสูงก็รู้สึกมั่นใจมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในด้านการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วง 6 เดือนข้างหน้า (73%) มากกว่าในเดือนกุมภาพันธ์ (60%) เมื่อ KPMG ได้สำรวจซีอีโอ 500 คน สำหรับ CEO Outlook Pulse
นอกจากนี้ ผู้นำ 71% เชื่อมั่นเกี่ยวกับแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในช่วง 3 ปีข้างหน้า (เพิ่มขึ้นจาก 60% ในต้นปี 2565) และเกือบ 9 ใน 10 (85%) เชื่อมั่นในการเติบโตขององค์กรในช่วง 3 ปีข้างหน้า
บิลล์ โทมัส ประธาน และซีอีโอ เคพีเอ็มจี อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า วิกฤตที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยๆ เช่น โรคระบาดทั่วโลก ความตึงเครียดทางการเมือง แรงกดดันด้านเงินเฟ้อ และปัญหาทางการเงิน ได้เกิดขึ้นติดต่อกันในระยะเวลาสั้นๆ และส่งผลต่อมุมมองของซีอีโอทั่วโลก แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจคือความกังวลอันดับต้นสำหรับผู้นำธุรกิจในขณะนี้ แต่ก็น่ายินดีที่จะเห็นความเชื่อมั่นในหมู่ผู้บริหารเกี่ยวกับบริษัทของตนเอง และแนวโน้มการเติบโตในระยะยาว
“เหตุการณ์ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้สร้างความวุ่นวายให้กับแวดวงธุรกิจเป็นอย่างมาก ผลการสำรวจของเราทำให้เห็นข้อดีท่ามกลางวิกฤต ว่าการต่อสู้เพื่อเอาชนะบททดสอบเหล่านี้ทำให้ผู้บริหารมีความมั่นใจเรื่องความยืดหยุ่นของแต่ละองค์กรมากยิ่งขึ้น และมีความมุ่งมั่นมากยิ่งขึ้นในการรับมือกับความไม่แน่นอนที่เผชิญอยู่ในปัจจุบัน”
ด้าน เจริญ ผู้สัมฤทธิ์เลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เคพีเอ็มจี ประเทศไทย เมียนมา และ สปป.ลาว กล่าวว่า “ด้วยความท้าทายและปัญหาใหม่ๆ ที่ส่งผลต่อธุรกิจอย่างต่อเนื่อง บริษัทต่างๆ ในประเทศไทยต้องมั่นใจว่าพนักงานของท่านมีทักษะที่เหมาะสมในการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงและมีความยืดหยุ่น การเพิ่มทักษะและเรียนรู้ทักษะใหม่เป็นกุญแจสำคัญ นอกจากนี้ การกระจายห่วงโซ่อุปทานและรูปแบบธุรกิจที่หลากหลายจะช่วยบรรเทาความท้าทาย และการหยุดชะงักของธุรกิจอันเป็นผลมาจากความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจ และด้านอื่นๆ”
นอกจากนี้ ยังมีผลการสำรวจที่สำคัญ ประกอบด้วย
1. ประเด็นการคงจำนวนและลดจำนวนพนักงาน อยู่ภายใต้การพิจารณาอย่างหนักสำหรับซีอีโอ
จากความวุ่นวายทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง มีสัญญาณบ่งชี้ว่าการลาออกครั้งใหญ่อาจค่อยๆ ลดลง โดยซีอีโอ 39% ได้ดำเนินการคงจำนวนพนักงานแล้ว และ 46% กำลังพิจารณาลดจำนวนพนักงานในช่วง 6 เดือนข้างหน้า อย่างไรก็ตาม ในช่วง 3 ปีข้างหน้ามีการคาดการณ์ในเชิงบวก โดยมีเพียง 9% เท่านั้นที่คาดว่าจำนวนพนักงานจะลดลงอีก
2. ความไม่แน่นอนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์โดยการนำดิจิทัลมาใช้ในระยะยาว
ในขณะที่ความไม่แน่นอนในปัจจุบันผลักดันให้ซีอีโอให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลต่อไป ธุรกิจ 40% ได้หยุดกลยุทธ์การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลไว้ชั่วคราว และ 37% วางแผนที่จะดำเนินการตามขั้นตอนดังกล่าวในอีก 6 เดือนข้างหน้า
ในระยะยาว ซีอีโอมากกว่า 1 ใน 4 เชื่อว่าการพัฒนาสู่ระบบดิจิทัลและการเชื่อมต่อทางธุรกิจมีความสำคัญต่อการบรรลุเป้าหมายการเติบโตในอีก 3 ปีข้างหน้า 74% ยังเห็นด้วยว่าการลงทุนเชิงกลยุทธ์ด้านดิจิทัล สิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และบรรษัทภิบาล (Governance) หรือ ESG ขององค์กรนั้นเชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออก
3. การให้ความสำคัญในการป้องกันความเสี่ยงด้านชื่อเสียงและเทคโนโลยี
เทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่และก่อให้เกิดดิสรัปชันได้กลายเป็นความเสี่ยงสูงสุดต่อการเติบโตของธุรกิจในช่วง 3 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ ซีอีโอยังได้ระบุความเสี่ยงด้านอื่นๆ อีกหลายประการที่มีความเสี่ยงสูงสุดต่อการเติบโต ได้แก่ ความเสี่ยงด้านชื่อเสียง ปัญหาด้านกฎระเบียบและการปฏิบัติงาน และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
ความเสี่ยงด้านชื่อเสียง เช่น ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนกับลูกค้าหรือความคิดเห็นสาธารณะ สร้างความกังวลให้กับซีอีโอมากขึ้น เมื่อเทียบกับต้นปี 2565 (10% ในเดือนสิงหาคมเทียบกับ 3% ในเดือนกุมภาพันธ์) เพื่อตอบสนองต่อความท้าทายด้านภูมิรัฐศาสตร์ องค์กร 51% หยุดทำงานกับรัสเซียและ 34% วางแผนที่จะทำเช่นนั้นในช่วง 6 เดือนข้างหน้า
4. การรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ไม่ใช่ภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดขององค์กรอีกต่อไป เพราะองค์กรต่างๆ เตรียมพร้อมสำหรับการโจมตีมากขึ้น
การรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ตกอันดับความเสี่ยงต่อการเติบโต จาก 5 อันดับแรกในปีที่แล้ว โดยมีซีอีโอเพียง 6% เท่านั้นที่ระบุว่าเป็นความเสี่ยงสูงสุด ( 17% ในเดือนกุมภาพันธ์ 2565) อย่างไรก็ตาม ความปลอดภัยทางไซเบอร์ทวีความสำคัญ โดยซีอีโอ 77% ระบุว่าองค์กรมองว่าการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลเป็นหน้าที่เชิงกลยุทธ์ และเป็นแหล่งความได้เปรียบทางการแข่งขัน ซีอีโอจำนวน 7 ใน 10 คน (73) เชื่อว่าความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ยังก่อให้เกิดความกังวลต่อการโจมตีทางไซเบอร์ขององค์กร
กว่า 3 ใน 4 ขององค์กร (72%) มีแผนรับมือการโจมตีจากแรนซัมแวร์ (Ransomware) อย่างไรก็ตาม ซีอีโอจำนวนมากขึ้นตระหนักว่าองค์กรของตนไม่พร้อมสำหรับการโจมตีทางไซเบอร์ โดยเกือบ 1 ใน 4 (24%) ยอมรับเช่นนั้นในปี 2565 เทียบกับ 13% ในปี 2564
5. ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกดดันให้เพิ่มความรับผิดชอบด้าน ESG
ในด้านความท้าทายที่สำคัญที่สุดในการสื่อสารประสิทธิภาพของ ESG ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ซีอีโอเกือบ 1 ใน 5 (17%) ระบุถึงความสงสัยของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเกี่ยวกับการฟอกเขียว (Greenwashing) เพิ่มขึ้นจาก 8% ในปี 2564 ซีอีโอมากกว่า 1 ใน 3 (38%) กล่าวว่าองค์กรของตนไม่สามารถถ่ายทอดเรื่องราว ESG ที่น่าสนใจได้ดีพอ ผู้ตอบแบบสอบถามเกือบ 3 ใน 4 (72%) ยังเชื่อว่าผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจะเพ่งเล็งประเด็น ESG ต่างๆ เช่น ความเท่าเทียมทางเพศ ผลกระทบต่อสภาพอากาศ ฯลฯ มากยิ่งขึ้นต่อไป
ในแง่ทาเลนต์ เมื่อเทียบกับช่วงต้นปี 2565 ผู้บริหารระดับสูงเชื่อว่าการมีความสามารถและทักษะที่เหมาะสมเป็นกุญแจสำคัญในการบรรลุเป้าหมายการลดคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ หรือเป้าหมายอื่นๆ ที่ใกล้เคียงกัน เกือบ 1 ใน 4 (22%) กล่าวว่าการขาดทักษะและความเชี่ยวชาญเป็นอุปสรรคต่อการนำโซลูชันไปใช้ เพิ่มขึ้นจาก 16% เมื่อต้นปีนี้
6. แรงกดดันทางเศรษฐกิจทำให้การบรรลุเป้าหมาย ESG ชะลอตัวลง
ซีอีโอระดับโลกตระหนักถึงความสำคัญของการปฏิบัติการด้าน ESG ต่อธุรกิจของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการปรับปรุงประสิทธิภาพทางการเงินและขับเคลื่อนการเติบโต ผู้บริหารระดับสูง 69% สังเกตเห็นความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการรายงานและความโปร่งใสเกี่ยวกับ ESG ที่เพิ่มขึ้น จาก 58% ในปี 2564
ซีอีโอเกือบครึ่ง (45%) เห็นด้วยว่าความก้าวหน้าด้าน ESG ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพทางการเงินขององค์กร เพิ่มขึ้นจาก 37% ในปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจยังคงดำเนินต่อไป ซีอีโอจำนวนครึ่งหนึ่งได้หยุดโครงการ ESG ลงชั่วคราว หรือพิจารณาโครงการ ESG ที่มีอยู่ หรือที่วางแผนไว้ในอีก 6 เดือนข้างหน้า และ 34% ได้ดำเนินการหยุดโครงการชั่วคราวไปแล้ว