‘กรุงไทย’ มองเงินบาทสัปดาห์นี้มีโอกาสอ่อนค่าทะลุ 34 บาทต่อดอลลาร์ หากเงินเฟ้อสหรัฐฯ ไม่ชะลอลงตามคาด

ธนาคารกรุงไทยประเมินทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่ามีความเสี่ยงจะอ่อนค่าต่อเนื่องและอาจทดสอบแนวต้านสำคัญ 34.00 บาทต่อดอลลาร์ได้ไม่ยาก หากเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นต่อ พร้อมการปรับตัวลงของราคาทองคำ หลังจากที่เช้านี้ (13 กุมภาพันธ์) เงินบาทเปิดที่ระดับ 33.55 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงจากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า

สำหรับปัจจัยที่ควรจับตาคือฟันด์โฟลวนักลงทุนต่างชาติ หลังนักลงทุนต่างชาติยังคงเดินหน้าขายสุทธิสินทรัพย์ไทยต่อเนื่องในสัปดาห์ก่อนหน้า นอกจากนี้ หากราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องก็อาจยิ่งสร้างแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาทได้ (ราคาพลังงานสูง กดดันดุลการค้า เนื่องจากประเทศไทยเป็น Net Importer พลังงาน) โดยมองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ที่ระดับ 33.30-34.00 บาทต่อดอลลาร์

พูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai Global Markets ธนาคารกรุงไทย ระบุว่า หากเงินบาทอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้านที่ประเมินไว้ในภาวะตลาดปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) เงินบาทก็มีโอกาสอ่อนค่าใกล้ระดับ 34.20 บาทต่อดอลลาร์ได้ ซึ่งกรณีดังกล่าวอาจเป็นไปได้ หากฝั่งผู้ส่งออกมีการปรับมุมมองต่อเงินบาท อาทิ ผู้ส่งออกไม่เร่งรีบขายเงินดอลลาร์และมองว่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลง หลังปรับตัวอ่อนค่าทะลุ 34.00 บาทต่อดอลลาร์

อย่างไรก็ดี ยังมองว่า โซน 34.00 บาทต่อดอลลาร์ อาจเป็นจุดที่ผู้เล่นในตลาดบางส่วนที่มีสถานะ Long USDTHB (ตั้งแต่การพลิกกลับมาอ่อนค่าเหนือระดับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์) ใช้เป็นจุดในการทยอยขายทำกำไรหรือปิดสถานะ Long USDTHB บางส่วนได้ ซึ่งการปรับสถานะดังกล่าวก็อาจช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทได้บ้าง

ในส่วนเงินดอลลาร์ มองว่า เงินดอลลาร์มีโอกาสแข็งค่าขึ้นต่อได้ หากตลาดเริ่มมองว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยสูงกว่า 5.25% ซึ่งต้องรอลุ้นภาพอัตราเงินเฟ้อ CPI โดยเฉพาะในส่วนอัตราเงินเฟ้อจากภาคการบริการ แต่การแข็งค่าของเงินดอลลาร์อาจถูกชะลอลงได้บ้าง หากตลาดยังคาดหวังการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยจากทั้ง BOE และ ECB

“ในสัปดาห์นี้ เรามองว่าควรระวังความเสี่ยงตลาดปรับมุมมอง (Repricing) แนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed หากอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ (CPI) ไม่ได้ชะลอลงตามคาด ทั้งนี้ ตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ Fed, BOE และ ECB” พูนระบุ

ทั้งนี้ Krungthai Global Markets ได้วิเคราะห์มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลกที่น่าสนใจไว้ดังนี้

ฝั่งสหรัฐฯ – รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ในเดือนมกราคม อาจสร้างความผันผวนให้กับตลาดการเงินได้ โดยในกรณีที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (Headline CPI) และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) ยังคงขยายตัวไม่น้อยกว่า +0.4% จากเดือนก่อนหน้า (คิดเป็นระดับ 6.4% และ 5.6% เมื่อเทียบจากปีก่อน ตามลำดับ) ตามที่บรรดานักวิเคราะห์ประเมินไว้ก็อาจสะท้อนว่า อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ แม้จะชะลอตัวลง (ตามที่ประธาน Fed ได้ระบุในการประชุม Fed และในสัปดาห์ก่อนหน้า) แต่ก็อาจไม่ได้ชะลอเร็วนัก โดยเฉพาะหากตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่งและตึงตัว หนุนให้อัตราเงินเฟ้อในส่วนภาคการบริการชะลอตัวช้า

ซึ่งในกรณีนี้ ผู้เล่นในตลาดอาจกลับมากังวลแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed และอาจเริ่มมองว่า Fed มีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่อง จนแตะระดับสูงสุดที่มากกว่าระดับ 5.25% ซึ่งตลาดมองไว้ล่าสุด (จาก CME FedWatch Tool ตลาดประเมิน Fed มีโอกาสราว 38% ที่จะขึ้นดอกเบี้ยสู่ระดับ 5.50% เพิ่มขึ้นจากโอกาสเพียง 5% ที่ตลาดมองในช่วง 1 เดือนก่อนหน้า)

นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ Fed โดยเฉพาะมุมมองต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อและการปรับนโยบายการเงิน Fed หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมานั้นทยอยออกมาดีกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาด รวมถึงนักวิเคราะห์บางส่วนเริ่มมองว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจไม่ได้ชะลอตัวลงหนัก จนเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ในปีนี้ ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งหากผลประกอบการรวมถึงแนวโน้มผลประกอบการในอนาคต ออกมาแย่กว่าคาด ก็อาจส่งผลให้บรรยากาศในตลาดการเงินยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ต่อเนื่องได้

ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจอังกฤษ โดยเฉพาะรายงานข้อมูลตลาดแรงงานและอัตราเงินเฟ้อ CPI โดยบรรดานักวิเคราะห์ต่างคาดว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไป Headline CPI ของอังกฤษในเดือนมกราคมอาจชะลอลงสู่ระดับ 10.2% อย่างไรก็ดี แม้ว่าอัตราเงินเฟ้ออาจมีแนวโน้มชะลอลง ทว่าหากรายงานข้อมูลการจ้างงานอังกฤษยังคงสะท้อนภาพตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งและตึงตัว โดยเฉพาะค่าจ้างยังคงขยายตัวกว่า +6.5% ก็อาจสะท้อนว่าอัตราเงินเฟ้อของอังกฤษอาจชะลอตัวช้ากว่าที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) คาดหวัง ทำให้ BOE อาจจำเป็นต้องเดินหน้าขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่อง

ส่วนในฝั่งยูโรโซน ตลาดมองว่าเศรษฐกิจยูโรโซนในไตรมาสที่ 4 อาจขยายตัวเพียง +1.9%YoY กดดันโดยภาวะเงินเฟ้อสูง อย่างไรก็ดี วิกฤตพลังงานที่ไม่ได้รุนแรงอย่างที่กังวล รวมถึงมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพจากภาครัฐในหลายประเทศก็ช่วยให้เศรษฐกิจยูโรโซนไม่ได้ชะลอตัวลงหนัก และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ BOE และเจ้าหน้าที่ ECB อย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินแนวโน้มการปรับนโยบายการเงินของทั้ง BOE และ ECB

ฝั่งเอเชีย – ตลาดคาดว่าการทยอยฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นหลังการเปิดประเทศ ดังจะเห็นได้จากการท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคักจะเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นในไตรมาสที่ 4 อาจขยายตัวราว +1.8% จากไตรมาสก่อนหน้า เมื่อเทียบเป็นรายปี (QoQ Annualized) อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจญี่ปุ่นอาจชะลอลงในช่วงต้นปี 2023 ตามภาพการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่อาจกดดันยอดการส่งออกและภาคการผลิต

นอกจากนี้ ภาวะเงินเฟ้อที่เร่งตัวสูงขึ้นก็อาจกระทบการบริโภคของครัวเรือนได้ ในฝั่งนโยบายการเงิน ตลาดมองว่า ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ (BSP) อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย +0.25% สู่ระดับ 5.75% หลังอัตราเงินเฟ้อยังคงเร่งตัวสูงขึ้นใกล้ระดับ 9% ในขณะที่ธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) อาจตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 5.75% หลังค่าเงินรูเปียห์ (IDR) กลับมาแข็งค่าขึ้น อีกทั้งอัตราเงินเฟ้อก็ชะลอลงต่อเนื่องและมีแนวโน้มกลับสู่กรอบเป้าหมาย 2-4% ของ BI ได้ในปีนี้

ฝั่งไทย – ตลาดประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4 ของปีก่อนหน้า อาจขยายตัวราว +3.9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน หนุนโดยการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคในประเทศ ขณะที่การค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในฝั่งการส่งออกอาจขยายตัวได้ไม่ดีมากนัก ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก