คุณศิริพร เดชสิงห์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการสื่อสารองค์กร บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แม้ว่าจะเริ่มคลี่คลายและมีการปลดล็อกเฟส 5 แล้ว แต่ก็ยังต้องระวังไม่ให้การ์ดตก โดยเฉพาะการเปิดให้ชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาต้องทำอย่างเข้มงวด เพื่อไม่ให้มีการแพร่ระบาดรอบที่ 2 โดยบาลานซ์เรื่องความปลอดภัย สุขอนามัย และเศรษฐกิจไปพร้อม ๆ กัน
ขณะที่ด้านของกำลังซื้อจากนี้ไปในช่วงครึ่งปีหลังมองว่า การบริโภคในประเทศจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้น บวกกับการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐ เช่น ด้านการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม สภาพเศรษฐกิจของไทยมีการพึ่งพาปัจจัยภายนอกค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นด้านการท่องเที่ยว และการส่งออก ซึ่งในส่วนนี้มองว่าจะค่อยๆ ดีขึ้น แต่ไม่เท่าช่วงก่อนมีโควิด
ตลอดจนตลาดค้าปลีกและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทำให้บริษัทได้พิจารณาปรับแผนในการดำเนินงานปีนี้ใหม่ โดยการเร่งพัฒนาด้านออนไลน์ และออมนิแชนเนล ให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะเพื่อรองรับการสั่งซื้อผ่านออนไลน์ดีลิเวอรี่ ไม่ว่าจะเป็นการปรับสาขาที่มีอยู่กว่า 100 สาขา ให้เป็นฮับ (hub) ที่สามารถให้บริการดีลิเวอรี่ได้ด้วย จากเดิมที่มีสาขารองรับอยู่ประมาณ 20 สาขา โดยในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์ของบริษัทเติบโตสูงถึง 30%
“สิ่งที่เราเคยแพลนไว้ตั้งแต่ต้นปี วันนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปเร็วมาก ก็ยังต้องจับตาและปรับเรื่อย ๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น อย่างช่วงโควิดมา ออนไลน์เราโตขึ้นถึง 30% แต่ขณะเดียวกันก็โดนผลกระทบทางอ้อม ในช่องทาง HORECA ที่กลุ่มโรงแรม ร้านอาหาร มีรายได้ลดลงแทบจะเป็นศูนย์ หรือต้องปิดกิจการชั่วคราว จากการไม่มีนักท่องเที่ยว ซึ่งช่องทางนี้คิดเป็นสัดส่วนรายได้ถึง 30%”
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงเดินหน้าลงทุนขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยไตรมาส 1 ที่ผ่านมา มีสาขาเปิดใหม่ 6 สาขา แบ่งเป็นในไทย 5 สาขา เมียนมา 1 สาขา รวมเป็น 134 สาขาในประเทศไทย และ 7 สาขาในต่างประเทศ อาทิ อินเดีย กัมพูชา เมียนมา สำหรับสาขาที่เปิดล่าสุด ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี และรามอินทรา กม.4
ซึ่งสาขาดังกล่าวยังถือเป็นโมเดลใหม่ ที่เรียกว่า Fresh @ Makro บนพื้นที่ 800 ตร.ม. เล็กกว่าสาขาแบบฟู้ดเซอร์วิสที่จะมีพื้นที่ตั้งแต่ 1,000-7,000 ตร.ม. เน้นกลุ่มอาหารสด โดยคิดเป็นสัดส่วนกว่า 70% ตอบโจทย์ลูกค้าที่เป็นร้านอาหารรายย่อย และกลุ่มครอบครัวใหญ่ที่ปัจจุบันอยู่บ้านกันมากขึ้น และมีแนวโน้มที่จะเข้าครัวทำอาหารเอง
เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา มีเวลาอยู่บ้านและทำอาหารมากขึ้น ทำให้สัดส่วนของกลุ่มลูกค้าแบบ end user ที่เข้ามาจับจ่ายในแม็คโคร เพิ่มขึ้นเป็น 30% จากปีที่ผ่านมามีเพียง 20% และมียอดใช้จ่ายต่อตะกร้าที่สูงขึ้น นอกจากนี้ยังพบว่าสัดส่วนของการใช้สื่อออนไลน์ ทั้งอินเทอร์เน็ต เว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย ฯลฯ มีอัตราเพิ่มสูงขึ้นด้วยเช่นกัน
คุณศิริพรระบุต่อไปอีกว่า ผู้บริโภคยังมีแนวโน้มบริจาคเพื่อช่วยเหลือคนที่เดือดร้อนจากวิกฤตกันมากขึ้น ทำให้แม็คโครจัดทำโครงการ “คนไทยใจบุญ” การทำบุญสะดวกยุค 4.0 ด้วยบริการจัดซื้อ-จัดส่งสินค้าเพื่อการบริจาค เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่เกิดขึ้นเริ่มตั้งแต่การคัดกรองมูลนิธิ หรือสถานสงเคราะห์ที่น่าเชื่อถือ ที่อยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เบื้องต้นมีจำนวน 10 แห่ง จาก 23 แห่งในกรุงเทพฯ พร้อมบริการจัดชุดสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของสถานสงเคราะห์นั้น ๆ เช่น ชุดเครื่องเขียน ชุดฆ่าเชื้อ ชุดเสบียง ฯลฯ ราคาเริ่มต้นชุดละ 1,000 บาท สามารถสั่งได้ผ่านทั้งช่องทางออนไลน์ ออฟไลน์ และโทรศัพท์ โดยมารับสินค้าได้ทั้งที่สาขา ตลอดจนบริการจัดส่งไปยังมูลนิธิ หรือสถานสงเคราะห์นั้น ๆ ฟรี เมื่อมียอดการสั่งซื้อครบ 3,000 บาท
สำหรับผลประกอบการช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวม 56,308 ล้านบาท เติบโต 8.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 1,681 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.7%
ที่มา:ประชาชาติธุรกิจ