ด้วยการจัดให้สื่อมวลชนได้ทดลองขับ เอ็มจี เอชเอส MG HS รถยนต์เอนกประสงค์รุ่นใหม่ล่าสุดก่อนที่จะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2562 ที่จะถึงนี้
เอ็มจี เอชเอส นั้นเป็นรถเอนกประสงค์แบบเอสยูวี ที่อยู่ในขนาดคอมแพคค่อนมาทางขนาดกลางคือถ้าให้เทียบขนาดจะใกล้เคียงกับ ฮอนด้า ซีอาร์-วี, ซูบารุ ฟอร์เรสเตอร์, นิสสัน เอ็กเทรล และรถแบบพีพีวี
ทรงตัวดี แรงเอาเรื่อง
การทดลองขับในครั้งนี้ ใช้สนามทดสอบรถของเอ็มจี ในการลองขับ ซึ่งกำหนดให้ขับได้คนละสองรอบสนามก่อน และเมื่อมีเวลาเหลือจึงค่อยขับซ้ำได้ ผู้เขียนได้ทดลองขับไปทั้งสิ้น 6 รอบสนาม ผลลัพธ์คือ ความประทับใจ เหนือกว่าที่คาดคิดเอาไว้
แรกเริ่มด้วยโหมดการขับแบบปกติ กดคันเร่งแบบขับทั่วไป ตอบสนองทันใจไม่มีอาการอืดหรือรอรอบ เครื่องยนต์แม้จะมีขนาดความจุเพียง 1.5 ลิตร แต่ด้วยเทคโนโลยีเทอร์โบ ทำให้พิกัดกำลังไม่ด้อยไปกว่ารถที่ใช้เครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร แต่อย่างใด
สำหรับการทดลองขับในครั้งนี้เป็นแบบ Sneak Preview คือ มีรถคันจริงมาให้ชมและสัมผัสกันเล็กน้อย โดยมีข้อมูลคร่าวๆ เรื่องสเปกเบื้องต้นจะเป็น เครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 1.5 ลิตร เทอร์โบ กำลังสูงสุดราว 160 กว่าแรงม้า แรงบิดยังไม่เปิดเผยระบบส่งกำลังเป็นแบบอัตโนมัติ คลัทช์คู่ 7 สปีด โดยตัวเลขที่แน่นอนทั้งหมด ยังต้องรอวันเปิดตัวอีกครั้ง
ภายในหรู ออปชั่นล้น
อย่างไรก็ตาม ยังมีสิ่งที่บอกได้แบบชัดเจนหลายประการหลังได้สัมผัสและทดลองตัวรถจริงๆ โดยเราขอเริ่มกันที่ดีไซน์ภายนอก กระจังหน้ายังคงเอกลักษณ์ของความเป็นเอ็มจีเอาไว้เหมือนรุ่นอื่นๆ ด้วยดีไซน์แบบดวงดาว โคมไฟหน้าใหญ่ พร้อมไฟในโคมแบบแอลอีดี โดยไฟเลี้ยวใหม่มากับระบบไฟเคลื่อนไหววิ่งไปตามทิศทางที่เลี้ยว เช่นเดียวกับรถยุโรปบางยี่ห้อ
ขณะที่ด้านท้ายดูเต็ม และมีเส้นสันที่โค้งมนดูสอดรับสวยงามลงตัว ท่อไอเสียแบบคู่ พร้อมสปอยเลอร์รอบคันสีดำสลับโครเมียมให้ความรู้สึกสปอร์ตดี ล้อและยางเป็นขนาด 235/50 R18 จากกู๊ดเยียร์ กุญแจเป็นแบบรีโมท และมือจับแบบไร้รูกุญแจ
ด้านการตกแต่งภายใน เพียงแรกเห็นสัมผัสได้ถึงการอุปกรณ์ที่ใส่มาให้อย่างหรูหรา ไล่เรียงมาตั้งแต่สวิทต์ปรับกระจก มือเปิดประตูด้านในโครเมียมที่มากับระบบการเปิดล็อกแบบโยกเปิด 2 ครั้ง เบาะนั่งขนาดใหญ่รูปทรงสปอร์ตและหนานั่งนุ่มสบาย คันที่มาโชว์นั้นเป็นเบาะหนังสีดำสลับแดง
คอนโซลหน้า ดีไซน์ใหม่ เรือนไมล์เป็น 2 ระบบ โดยมีจอแบบดิจิตอลแสดงผล TFT ขนาด 7 นิ้ว อยู่ตรงกลาง ส่วนเข็มวัดความเร็วและวัดรอบอยู่ซ้ายขวา พวงมาลัยรูปทรงสปอร์ตท้ายตัดพร้อมปุ่มมัลติฟังก์ชัน และปุ่มปรับโหมดสปอร์ตแยกต่างหากแบบชัดเจน
สำหรับหน้าจอตรงคอนโซลกลางขนาด 10 นิ้วเป็นระบบสัมผัส ที่มาพร้อมกับระบบ ไอสมาร์ท รองรับทุกการเชื่อมต่อ ส่วนระบบปรับอากาศเป็น แบบอัตโนมัติซึ่งมีปุ่มปรับสไตล์เปียโนสีอลูมินั่ม หรูหราเต็มรูปแบบ พร้อมช่องจ่ายไฟแบบ 12 โวลท์ และช่องเสียบ USB ทั้งด้านหน้าและด้านหลังสำหรับผู้โดยสาร
เหนือสิ่งอื่นใดที่ขาดไม่ได้คือ ซันรูฟไฟฟ้า หลังคากระจกแบบพาโนรามิคขนาด 1.19 ตารางเมตร ใหญ่เต็มตา คลอบคลุมทั้งด้านหน้าและด้านหลัง กระโปรงหลังเปิดปิดด้วยระบบไฟฟ้า ฝากระโปรงหน้าเปิดด้วยโชคอัพ พร้อมออปชั่นปลีกย่อยอีกมากมายหลายรายการ อย่างไรก็ตามยังมีเพียงรายละเอียดของอุปกรณ์บางชิ้นที่ถ้าเปลี่ยนให้หรูหรากว่านี้ จะเรียกว่าเป็นรถหรูได้เต็มปากเต็มคำ
สำหรับการขับแบบเต็มสปีดในโหมดสปอร์ต ด้วยการคิกดาวน์มิดคันเร่ง ความรู้สึกรถพุ่งดี แม้จะมีเสียงดังอยู่บ้างคงไม่น่าแปลกใจ ระยะทางสั้นๆ ของสนามทดสอบเอ็มจี เจ้าเอชเอส สามารถทำความเร็วไปถึง กว่ากม./ชม. ได้ การส่งต่อกำลังเรียบเนียนและต่อเนื่อง นับว่า เซตอัพมาได้ดี
เมื่อใช้โหมดสปอร์ต (ด้วยการกดปุ่มแดงที่พวงมาลัย) เทียบการตอบสนองระหว่างโหมดปกติแล้ว ถ้าคิกดาวน์ไม่ต่างกันมาก แต่จะแตกต่างเมื่อขับแบบปกติทั่วไป การแตะคันเร่งพียงเบาๆ ในโหมดสปอร์ตรถจะพุ่งง่ายและไวกว่า
พวงมาลัยไฟฟ้า น้ำหนักเบามือมาก เข้าโค้งแม่นยำ เกาะถนนดี แม้สนามวันนั้นจะมีฝนตกทำให้มีน้ำขังหลายจุดก็ตาม ซึ่งระบบช่วงล่างน่าสนใจทีเดียวเพราะขับแล้ว ให้ความรู้สึกที่พอดีสำหรับรถครอบครัว ไม่กระด้างหรือยวบจนเกินไป เทียบกับรถแบบเดียวกันนี้ในตลาดถือว่าแข่งขันได้อย่างสูสี ผู้เขียนรู้สึกว่า เอชเอส ทำการบ้านในการเซตอัพช่วงอัพมาเป็นอย่างดี
ถึงบรรทัดนี้ เรียกว่า ขับแล้วประทับใจ ทั้งอุปกรณ์ที่ให้แบบครบถ้วนดูหรูหรา เหลือเพียงเรื่องของราคาที่จะประกาศในวันเปิดตัว ซึ่ง เอ็มจี ได้สร้างบรรทัดฐานใหม่เอาไว้แล้ว คงต้องรอดูว่า คราวนี้ ราคาของ เอชเอสจะสร้างเซอร์ไพรส์ เรียกเสียงฮือฮาได้ เฉกเช่นหลายรุ่นที่เคยทำมาก่อนหน้านี้ได้หรือไม่ 25 กันยายน นี้ทราบกันอย่างแน่นอน
ที่มา ผู้จัดการออนไลน์