ซีพีเอฟ รายงานยอดขายงวด 6 เดือนปี 2562 จำนวน 259,183 ล้านบาท เติบโตจากระยะเวลาเวลาเดียวกันของปีก่อนเล็กน้อย โดยมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายและค่าใช้จ่ายภาษีและค่าเสื่อม (EBITDA) จำนวน 22,175 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44% จากปีก่อน
คุณประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ กล่าวว่า หากพิจารณาผลการดำเนินงานในรูปของเงินตราท้องถิ่น บริษัทจะมียอดขายเติบโตขึ้นประมาณ 5-6% แต่เนื่องจากสัดส่วนยอดขาย 67% ของบริษัทมาจากกิจการในต่างประเทศ ทำให้ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น ทำให้ยอดขายจากกิจการต่างประเทศน้อยลงจากการแปลงค่างบการเงินมาเป็นสกุลเงินบาทประมาณ 4%
อย่างไรก็ตาม จากการฟื้นตัวจากภาวะล้นตลาดของราคาสุกรโดยเฉพาะในประเทศไทย เวียดนาม และกัมพูชา ทำให้ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทดีขึ้นอย่างโดดเด่น โดยอัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นจาก 11% ในปีก่อนเป็น 14% ในปีนี้ และส่งผลให้ EBITDA เพิ่มขึ้น 44%
คุณประสิทธิ์ ได้กล่าวถึงกำไรสุทธิงวด 6 เดือนปีนี้ ว่า หากหักรายการพิเศษแล้ว กำไรสุทธิของบริษัทในงวด 6 เดือนปีนี้ จะเติบโตจากปีก่อนอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากมีผลกระทบจากการบันทึกผลขาดทุนจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ชีวภาพ และผลกระทบจากการรับรู้ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจำนวน 1,812 ล้านบาท จากการบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองแรงงาน ฉบับที่ 7 ที่กำหนดให้นายจ้างต้องจ่ายเงินชดเชยให้แก่ลูกจ้างที่ทำงานติดต่อกันครบ 20 ปีขึ้นไปเมื่อออกจากงาน เพิ่มเติมจาก 300 วันเป็น 400 วัน ทำให้กำไรสุทธิงวด 6 เดือนปีนี้จำนวน 8,384 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนประมาณ 6%
ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2562 ได้มีมติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจาก ผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนปีนี้ ในอัตราหุ้นละ 30 สตางค์ โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล ในวันที่ 29 สิงหาคม 2562 (ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 28 สิงหาคม) และจะทำการจ่ายเงินปันผลในวันที่ 12 กันยายนนี้
Cr:Pr CPF