คุณประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ CEO ซีพีเอฟ กล่าวว่า ยอดขายของซีพีเอฟในไตรมาส 3 ปี 2562 ที่ไม่นับรวมผลกระทบจากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นและการปรับใช้มาตรฐานบัญชี TFRS 15 เพิ่มขึ้น 8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้จากกิจการในต่างประเทศคิดเป็นสัดส่วน 67% รายได้จากการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย 27% และรายได้จากการส่งออกสินค้าจากประเทศไทย 6% ของยอดขายรวม ซึ่งบริษัทมีกลยุทธ์ที่จะมุ่งเน้นการเติบโตและขยายตลาดในประเทศที่มีศักยภาพในการเติบโต และมีเป้าหมายที่จะเพิ่มยอดขายในต่างประเทศและส่งออกเป็น 80% ของยอดขายรวมในอีก 5 ปีข้างหน้า
กำไรสุทธิในไตรมาส 3 ปี 2562 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 23% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีสาเหตุหลักมาจากการฟื้นตัวจากภาวะล้นตลาดของสุกรในไทย ทำให้ราคาเฉลี่ยหมูขุนปรับตัวเพิ่มขึ้น และธุรกิจสัตว์น้ำต่างประเทศมีผลดำเนินงานที่ดีขึ้น รวมทั้งการขายเงินลงทุน
ทั้งนี้ การระบาดของโรค ASF ในหลายประเทศ ทำให้คาดว่าปริมาณสุกรของโลกลดลง ส่งผลให้ราคาสุกรปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งภาวะดังกล่าวอาจต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปีเนื่องจากผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการเกิดโรคระบาดยังไม่สามารถกลับมาเลี้ยงสุกรได้ทันที ประกอบกับการกลับมาทำฟาร์มเลี้ยงสุกรอีกครั้งจะต้องใช้เงินลงทุนเพิ่มขึ้นจากการสร้างระบบการจัดการความปลอดภัยทางชีวภาพที่มีประสิทธิภาพดีเพียงพอที่จะสามารถป้องกันสุกรจากโรคระบาดได้
ปัจจุบันราคาสุกรในประเทศเวียดนาม ปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 57,000-60,000 ดองต่อกิโลกรัม หรือประมาณ 75-78 บาทต่อกิโลกรัม เพิ่มขึ้นจากราคาเฉลี่ยของไตรมาส 3 ปี 2562 ซึ่งอยู่ที่ 38,422 ดองต่อกิโลกรัม หรือประมาณ 50 บาทต่อกิโลกรัม และราคาสุกรขุนปัจจุบันในประเทศจีนอยู่ที่ประมาณ 28-38 หยวนต่อกิโลกรัม หรือประมาณ 121-164 บาทต่อกิโลกรัม เพิ่มขึ้นจากราคาเฉลี่ยของไตรมาส 3 ปี 2562 ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 22 หยวนต่อกิโลกรัม หรือประมาณ 95 บาทต่อกิโลกรัม
คุณประสิทธิ์ กล่าวถึงผลการดำเนินงานในอนาคตว่า ปีนี้บริษัทจะมีผลประกอบการตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยในไตรมาส 4 ปีนี้ น่าจะได้รับผลดีจากราคาสุกรที่ปรับตัวอยู่ในระดับที่สูงกว่าปี 2561 ที่ผ่านมา และคาดว่า ในปี 2563 ผลประกอบการจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องตามกลยุทธ์การขยายงาน แนวทางการเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจ และภาวะตลาดของธุรกิจที่ปรับตัวดีขึ้นด้วย
Cr:Pr CPF