คุณศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ ในฐานะตัวแทนของเครือเจริญโภคภัณฑ์ เปิดเผยว่า ในสถานการณ์ที่การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ยังมีความน่าเป็นห่วง และภาครัฐมีการดำเนินการออก พ.ร.ก. ฉุกเฉินเพื่อควบคุมสถานการณ์นั้น บริษัทมีความตระหนักดีถึงความสำคัญในการให้บริการ และการเข้าถึงอย่างต่อเนื่องของทั้งอาหาร เครื่องดื่ม และเวชภัณฑ์ โดยยืนยันว่าทางซีพีออล์ หรือเซเว่นอีเลฟเว่นจะปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถในการที่จะทำให้อาหาร เครื่องดื่ม เวชภัณฑ์สามารถดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ เซเว่นฯมีพนักงานประมาณ 1.5 แสนคนที่ช่วยกันขับเคลื่อน ขณะที่ในส่วนของซีพีเอฟทางด้านอาหารก็จะดำเนินการอย่างเต็มที่ในการให้มีของสดบริการอย่างต่อเนื่อง โดยทั้ง 2 องค์กรต้องมีการพึ่งพาภาครัฐในเรื่องของซัพพายเช่น การขนส่งหรือโลจิสติกส์ ซึ่งจะต้องช่วยกันทำอย่างไรไม่ให้เกิดการขาดหายในระหว่างการขนส่ง เพราะเป็นเรื่องที่สำคัญในกรณีที่รัฐต้องมีการกักตัว การเดินทางไปมาของผู้ปฏิบัติงานโดยเฉพาะการขนส่งในระบบซัพพายเชนทั้งหมดยังต้องมีความต่อเนื่อง จะติดขัดไม่ได้เลย ด้านทรูคอร์เปอร์เรชั่นก็ได้มีการนำโซลูชั่นของการทำงานที่บ้าน และการเรียนหนังสือที่บ้านหรือในทุกที่ได้ผ่านระบบเทคโนโลยี
โดยได้มีการประสานกับผู้ประกอบการอื่นทั้งในแง่ของระบบโครงข่าย ระบบคราวน์ซอฟท์แวร์ที่ทำให้ทำงาน หรือเรียนหนังสือที่บ้านได้ ตลอดจนอัตราค่าบริการ โดยที่สำคัญโครงข่ายจะต้องมีความต่อเนื่อง และไม่ให้เกิดการขาดหาย ซึ่งเวลานี้โครงสร้างพื้นฐานในหมวดสื่อสารจะเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างมาก“เราทุกคนต้องให้กำลังใจซึ่งกันและกัน โดยตนมีความมั่นใจในระบบการขับเคลื่อนของภาครัฐ ภาคแอกชน และระบบเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งความมั่นใจจะเป็นศักยภาพสำคัญ และความหวังที่จะทำให้เกิดการก้าวข้ามช่วงวิกฤตินี้ไปได้ และยังสามารถทำให้เศรษฐกิจมีความมั่นคง และเป็นที่น่าลงทุนจากทั่วโลก อีกทั้งยังเป็นการแสดงศักยภาพของไทยต่อทั่วโลกด้วย หากผ่านวิกฤติไปได้ด้วยดี”
คุณฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทจะดำเนินการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค โดยยืนยันจะปฏิบัติทำหน้าที่นี้ต่อไป ซึ่งอยากให้ประชาชนมีความมั่นใจว่าจะมีสินค้ากระจายออกไปได้อย่างทั่วถึง ส่วนในภาคขององค์กรเองบริษัทก็พร้อมที่จะดูแลพนักงาน พันธมิตร และคู่ค้าอย่างเต็มความสามารถ ทั้งการออกนโยบายที่สอดคล้องกับมาตรการของรัฐในการรณรงค์ให้ทุกคนช่วยกันหยุดการแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 ทั้งการแจกจ่ายหน้ากากอนามัย การตรวจวัดไข้ และการแจกแอลกอฮอล์ล้างมือ
นอกจากนี้ ยังดูแลไปถึงความเป็นอยู่ของพนักงาน และครอบครัว โดยเชื่อว่าการดำเนินการดังกล่าวจะเป็นการแบ่งเบาภาระให้กับภาครัฐได้ ซึ่งภาคเอกชนก็พร้อมที่จะปรับตัวเพื่อรองรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน สิ่งที่สำคัญก็คือทุกคนจะต้องตื่นรู้กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และไม่ตื่นตระหนกจนเกินไป
คุณรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือSCG เปิดเผยว่า ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมก็มีความพร้อมที่จะร่วมมือในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นภาคธุรกิจ เพื่อที่จะทำให้การให้บริการหรือสินค้าที่มีความจำเป็นต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน และจำเป็นในแง่ของสาธารณูปโภคของสาธารณะชนมีการดำเนินการไปได้โดยไม่ติดขัด“อยากเชิญชวนภาคเอกชนทุกภาคส่วนเรื่องที่เรามีความร่วมมือตรงนี้ ต้องถือว่าเป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติ หากมีเรื่องที่สามารถดูแลพนักงาน หรือผู้รับเหมา หรือผู้ค้าให้มีสุขภาพดีต่อเนื่องก็ถือว่าได้ทำหน้าที่ส่วนหนึ่งในการเป็นพลเมืองดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการยอม หรือสนับสนุนให้พนักงานทำงานจากที่บ้านได้ หรือผู้ที่มีความจำเป็นต้องทำหน้าที่สำคัญก็ขอให้มีมาตรการที่เข้มข้น เพื่อไม่ให้การแพร่กระจายของไวรัสมีความเสี่ยงมากขึ้น”
Cr: ฐานเศรษฐกิจ