นายสมเกียรติ กิมาวหา รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส.คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรในเดือน ก.ค.65 ที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากมาตรการคลายล็อกดาวน์ การเปิดประเทศ ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ การสร้างความมั่นคงทางอาหาร ส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้น ได้แก่
– ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% ราคาอยู่ที่ 9,142-9,206 บาท/ตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 0.10-0.80% เนื่องจากคำสั่งซื้อล่วงหน้าของประเทศคู่ค้าเพิ่มขึ้นอย่างมาก จากความกังวลด้านความมั่นคงทางอาหารโลก ทำให้ประเทศต่างๆ กำหนดมาตรการจำกัดการส่งออกอาหารประกอบกับมีความต้องการใช้ข้าวเพื่อผลิตอาหารสัตว์เพิ่มขึ้น
– ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาอยู่ที่ 13,964-14,074 บาท/ตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 0.15-0.94% เนื่องจากความต้องการของประเทศคู่ค้าเพิ่มขึ้น จากแนวโน้มค่าเงินบาทอ่อนลงจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ
– ข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ราคาอยู่ที่ 9,179-9,243 บาท/ตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 1.09-1.80% เนื่องจากปริมาณผลผลิตข้าวเหนียวลดลง เพราะราคาในปีที่ผ่านมาไม่จูงใจในการผลิตข้าวเปลือกเหนียวนาปี ทำให้เกษตรกรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือตอนบน ผลิตข้าวเหนียวไว้รับประทานในครัวเรือนและไม่กระจายไปยังภาคอื่นๆ
– ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ความชื้นไม่เกิน 14.5% ราคาอยู่ที่ 10.54-10.59 บาท/ก.ก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 0.22-0.65% เนื่องจากเป็นช่วงปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ รุ่น 1 (ปลูก มี.ค.-ต.ค.) ทำให้ปริมาณผลผลิตออกสู่ตลาดน้อย ประกอบกับสิ้นสุดมาตรการเพิ่มปริมาณการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ แต่ความต้องการใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ยังคงเพิ่มขึ้นจากการเพิ่มประมาณการสำรองธัญพืชเพื่อการบริโภค และภาวะเงินบาทอ่อนค่า ทำให้ต้นทุนการนำเข้าราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์อื่นปรับตัวสูงขึ้น
– มันสำปะหลัง ราคาอยู่ที่ 2.56-2.60 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 0.39-1.96% เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงและเอทานอลเพิ่มขึ้น ทำให้ความต้องการใช้มันสำปะหลังเพื่อผลิตเอทานอลมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ประกอบกับความต้องการนำเข้ามันสำปะหลังจากต่างประเทศยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
– ยางพาราแผ่นดิบ ราคาอยู่ที่ 62.08-62.79 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 0.68-1.83% เนื่องจากมาตรการผ่อนคลายล็อกดาวน์ของจีนส่งผลให้ผู้ประกอบการกลับมาดำเนินการผลิตได้ตามปกติและมีการผลิตรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นประกอบกับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังสูง ส่งผลให้ราคายางสังเคราะห์เพิ่มขึ้นและต้นทุนการผลิตถุงมือยางสังเคราะห์สูงขึ้น จึงทำให้ความต้องการยางธรรมชาติเพิ่มขึ้น
– ปาล์มน้ำมัน ราคาอยู่ที่ 10.11-11.35 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 4.01-16.76% เนื่องจากความต้องการที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะประเทศจีน ซึ่งเป็นผู้นำเข้าปาล์มน้ำมันรายใหญ่ของโลก เริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ทำให้การคมนาคมขนส่งกลับมาให้บริการอีกครั้ง ห้างสรรพสินค้า ร้านค้า ร้านอาหาร และ Supermarket กลับมาเปิดบริการตามปกติ
– สุกร ราคาอยู่ที่ 102.11-104.61 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 1.08-3.56% เนื่องจากปัจจัยด้านต้นทุนค่าอาหารสัตว์ ค่าการจัดการทำระบบป้องกันภัยทางชีวภาพของฟาร์มสุกร และค่าขนส่งที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่จากการที่รัฐบาลได้ขอความร่วมมือเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรให้ชะลอการปรับเพิ่มราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์ม จะทำให้ราคาเนื้อสุกรปรับตัวเพิ่มขึ้นได้เล็กน้อย
– โคเนื้อ ราคาอยู่ที่ 99.94-100.40 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 0.02-0.48% เนื่องจากมาตรการเปิดประเทศเต็มรูปแบบ เมื่อวันที่ 1 ก.ค.65 ส่งผลให้ความต้องการบริโภคเครื่องดื่มและอาหาร รวมถึงเนื้อโคปรับตัวเพิ่มขึ้น
ส่วนค้าเกษตรที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลง ได้แก่
– น้ำตาลทรายดิบ ราคาอยู่ที่ 18.54-18.64 เซนต์/ปอนด์ (14.46-14.54 บาท/กก.) ลดลงจากเดือนก่อน 0.12-0.65% เนื่องจากราคาน้ำตาลทรายโลกได้รับผลกระทบจากข่าวการลดภาษีน้ำมันของประเทศบราซิล อาจเป็นปัจจัยกดดันให้ราคาเอทานอลลดลงและกระตุ้นให้โรงงานน้ำตาลของบราซิลเพิ่มสัดส่วนการนำอ้อยไปผลิตน้ำตาลแทนการผลิตเอทานอล ส่งผลให้อุปทานน้ำตาลในตลาดโลกเพิ่มขึ้น
– กุ้งขาวแวนนาไม (70 ตัว/ก.ก.) ราคาอยู่ที่ 148.82-149.76 บาท/กก. ราคาลดลงจากเดือนก่อน 0.16-0.79% เนื่องจากคาดว่าผลผลิตกุ้งจะเพิ่มขึ้นจากการที่เกษตรกรเพิ่มการปล่อยลูกกุ้งตามต้นทุนราคาลูกกุ้งที่ปรับลดลง นอกจากนี้ ตลาดสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นผู้นำกุ้งรายใหญ่ของไทย คาดว่าจะนำเข้ากุ้งลดลง เนื่องจากได้นำเข้ากุ้งแล้วจำนวนมากในช่วงก่อนหน้าจากผู้ผลิตกุ้งหลักในอินเดีย อินโดนีเซีย และเอกวาดอร์ และยังมีสต็อกสะสมมาก
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์