ศูนย์วิจัยกสิกรไทยรายงานสถานการณ์เงินบาทสัปดาห์ที่ผ่านมาอ่อนค่าไปที่ 36.73 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 15 ปี 8 เดือน นับตั้งแต่เดือน พ.ย. 2549 โดยเงินบาทอ่อนค่าลงท่ามกลางแรงหนุนที่แข็งแกร่งของเงินดอลลาร์ จากการคาดการณ์เกี่ยวกับแนวโน้มการเร่งคุมเข้มนโยบายการเงินของสหรัฐ
โดยในระหว่างสัปดาห์ เงินดอลลาร์ แข็งค่าผ่านแนว parity เมื่อเทียบกับเงินยูโร เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2545 นอกจากนี้ ภาพรวมของสกุลเงินเอเชียและเงินหยวนยังเผชิญแรงกดดันจากความกังวลต่อสัญญาณที่อ่อนแอของเศรษฐกิจโลกและความเสี่ยงต่อการระบาดของโควิดในจีนด้วยเช่นกัน ขนาดการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดกลายเป็นประเด็นหลักของตลาดในสัปดาห์นี้ หลังจากข้อมูลเงินเฟ้อ (ทั้ง CPI และ PPI) เดือน มิ.ย. พุ่งสูงขึ้นกว่าที่คาด และทำให้ตลาดเริ่มมีการคาดการณ์ว่า เฟดอาจปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายถึง 1.00% ในการประชุมรอบ 26-27 ก.ค. นี้ เพื่อสกัดเงินเฟ้อ อย่างไรก็ดีการคาดการณ์ดังกล่าวชะลอลงบางส่วน หลังเจ้าหน้าระดับสูงของเฟดให้ความเห็นในเชิงสนับสนุนการขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ในรอบนี้
ทั้งนี้ในวันศุกร์ที่ 15 ก.ค. 2565 เงินบาทแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 15 ปี 8 เดือนที่ 36.73 บาทต่อดอลลาร์ ก่อนจะปิดตลาดที่ระดับ 36.60 บาทต่อดอลลาร์ เทียบกับระดับ 36.02 บาทต่อดอลลาร์ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (8 ก.ค.) ขณะที่ระหว่างวันที่ 11-15 ก.ค. นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 1,141 ล้านบาท ขณะที่มีสถานะเป็น NET OUTFLOW ออกจากตลาดพันธบัตร 2,079 ล้านบาท (ขายสุทธิพันธบัตรไทย 2,063 ล้านบาท และมีตราสารหนี้ที่หมดอายุ 16 ล้านบาท)
สัปดาห์ถัดไป (18-22 ก.ค.) ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ระดับ 36.30-37.10 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สถานการณ์เงินทุนต่างชาติ ข้อมูลการส่งออกของไทยเดือน มิ.ย. ผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป ธนาคารกลางญี่ปุ่น ธนาคารกลางอินโดนีเซีย และการกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ LPR ของธนาคารกลางจีน
ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัย ผลสำรวจภาคการผลิตของเฟดสาขาฟิลาเดลเฟีย และดัชนี PMI (เบื้องต้น) เดือน ก.ค. ข้อมูลการเริ่มสร้างบ้าน ยอดขายบ้านมือสองเดือน มิ.ย.และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามตัวเลขอัตราเงินเฟ้อเดือน มิ.ย. และดัชนี PMI (เบื้องต้น) เดือน ก.ค. ของยูโรโซน อังกฤษ และญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน
ที่มา สยามรัฐ