สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) วิเคราะห์ปัจจัยที่จะช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศของ 5 ชาติอาเซียน สิงคโปร์ อินโดนีเซีย เวียดนาม มาเลเซียและไทย พบมีจุดแข็ง จุดอ่อนแตกต่างกัน แต่ไทยมีระบบนิเวศที่เอื้อต่อการลงทุน ทั้งยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ แต่มีข้อด้อย FTA มีน้อย การก้าวสู่สังคมสูงวัยที่จะกระทบแรงงาน แนะเร่งดึงดูดลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย อำนวยความสะดวกลงทุน เร่งเจรจาเพิ่ม FTA พัฒนาทักษะแรงงาน ขยายโลจิสติกส์
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สนค.ได้ทำการเปรียบเทียบปัจจัยที่มีผลต่อการดึงดูดการลงทุนใน 5 ประเทศเศรษฐกิจสำคัญของอาเซียน ได้แก่ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย เวียดนาม มาเลเซียและไทย พบว่า แต่ละประเทศมีจุดแข็งและจุดอ่อนที่แตกต่างกัน และมีขีดความสามารถในการดึงดูดการลงทุนไม่แพ้กัน โดยการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ตามรายงานการลงทุนโลกประจำปี 2566 พบว่า ไทยอยู่ลำดับที่ 5 รองจากสิงคโปร์ อินโดนีเซีย เวียดนาม และมาเลเซีย
อินโดนีเซีย มีปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ จำนวนแรงงานและการเป็นตลาดขนาดใหญ่ มีทรัพยากรเหมืองแร่ที่สำคัญ อาทิ นิกเกิล ดีบุก และทองแดง รวมถึงนโยบายและมาตรการที่เอื้อต่อการลงทุน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ ขณะที่ปัจจัยท้าทาย ได้แก่ ผลิตภาพแรงงานค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในอาเซียน ประสิทธิภาพของระบบราชการและการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา รวมถึงความท้าทายในการเชื่อมต่อด้านการขนส่งจากภูมิประเทศในลักษณะหมู่เกาะ
เวียดนาม มีปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ เศรษฐกิจที่เติบโตต่อเนื่องในระดับสูงในช่วงระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ที่ร้อยละ 7.5 มีประเทศคู่ FTA มากที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ในอาเซียน จำนวน 54 ประเทศ มีเสถียรภาพทางการเมือง ประชากรส่วนใหญ่อยู่ในวัยแรงงาน และการให้สิทธิประโยชน์ทางด้านภาษี ขณะที่ปัจจัยท้าทาย ได้แก่ ผลิตภาพแรงงานที่ยังคงต่ำ ระบบราชการและกฎหมายยังมีความซับซ้อน และโครงสร้างพื้นฐานยังจำเป็นต้องมีการพัฒนา อาทิ โครงข่ายการคมนาคมขนส่ง รวมทั้งการให้บริการทางด้านระบบไฟฟ้าและพลังงาน
มาเลเซีย มีปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ แรงงานมีทักษะสูงโดยเฉพาะทักษะดิจิทัล และสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ มีทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญอย่างปิโตรเลียม และแร่โลหะที่สำคัญ ได้แก่ ดีบุก บอกไซต์ (อะลูมิเนียม) ทองแดง และเหล็ก นโยบายและมาตรการที่เอื้อต่อการลงทุน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี และการริเริ่มโครงการวีซ่าพรีเมียมเพื่อดึงดูดนักลงทุนเข้ามาพำนักระยะยาว ขณะที่ปัจจัยท้าทาย ได้แก่ การขาดแคลนแรงงาน อีกทั้งมีการพึ่งพาแรงงานต่างชาติสูง มีการจำกัดสัดส่วนการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในหลายภาคธุรกิจ และค่าบริการในด้านโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค
ส่วนไทย มีปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ การมีระบบนิเวศที่เอื้อต่อการลงทุน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งด้านห่วงโซ่อุปทานและโครงสร้างพื้นฐาน และการดำเนินนโยบายที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจและอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการผลักดัน พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจะรองรับการลงทุนสีเขียว ขณะที่ปัจจัยท้าทาย ได้แก่ ไทยมีประเทศคู่ FTA ไม่มากนัก จำนวน 19 ประเทศ รวมศรีลังกาที่ลงนามเมื่อเดือน ก.พ.2567 ที่ผ่านมา และคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ภายในปี 2567 และการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ ซึ่งส่งผลต่อจำนวนแรงงานในอนาคต
นายพูนพงษ์กล่าวว่า ไทยควรเร่งดำเนินการเพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติเข้าสู่ประเทศไทย โดยต้องส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศเชิงรุก ด้วยการเร่งดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ จากกลุ่มนักลงทุนข้ามชาติที่มีศักยภาพ รวมถึงการสร้างการรับรู้เชิงบวกในการลงทุนในประเทศไทย เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุน การอำนวยความสะดวกและการแก้ไขอุปสรรคในการลงทุน ตลอดจนการอำนวยความสะดวกในการทำงานของผู้เชี่ยวชาญและช่างเทคนิคชาวต่างชาติและผู้ติดตาม การเร่งเจรจาจัดทำ FTA โดยเฉพาะการจัดทำ FTA กับตลาดที่มีศักยภาพสูงอย่างสหภาพยุโรป ซึ่งการมีคู่ประเทศ FTA เพิ่มขึ้นเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ
นอกจากนี้ ต้องเตรียมความพร้อมด้านแรงงาน โดยในระยะสั้นและระยะกลาง ควรยกระดับแรงงานให้มีความรู้และทักษะขั้นสูง ดึงดูดแรงงานทักษะสูงจากต่างประเทศ และอำนวยความสะดวกในการนำเข้าแรงงานกึ่งฝีมือจากประเทศเพื่อนบ้าน ขณะที่ในระยะยาว ควรมีการร่วมมือกันระหว่างภาคการศึกษา ภาครัฐ และภาคเอกชนในการวางแผนและปรับหลักสูตรการศึกษาและการฝึกอบรม เพื่อพัฒนาแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการของอุตสาหกรรมเป้าหมายและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง รวมถึงทักษะด้านภาษา การพัฒนาระบบนิเวศให้เอื้อต่อการลงทุน โดยการส่งเสริมการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม รวมถึงการเร่งพัฒนาผู้ประกอบการไทยให้มีความสามารถในการเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมเป้าหมายตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน และการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐาน ในด้านโลจิสติกส์ โดยการพัฒนาระบบการขนส่งทั้งทางถนน ทางน้ำ ทางราง ทางอากาศ และระบบขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ รวมถึงการเร่งลดต้นทุนโลจิสติกส์ของประเทศ ด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล โดยการส่งเสริมการขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตและปรับเพิ่มความเร็วเพื่อการใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพทั้งภาคธุรกิจและภาคการศึกษา และด้านสาธารณูปโภค โดยเฉพาะการบริหารจัดการอุปทานด้านพลังงานไฟฟ้าและน้ำประปา ซึ่งรวมถึงการจัดหาพลังงานสะอาด
ทั้งนี้ ในปี 2566 ไทยมีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ จำนวน 1,394 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 38 มูลค่าเงินลงทุนรวม 663,239 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 72 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 78.2 ของมูลค่าเงินลงทุนที่ขอรับการส่งเสริมทั้งหมด ซึ่งบ่งชี้ว่าแนวโน้มการลงทุนในประเทศไทยมีทิศทางที่ดี สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่มีต่อประเทศไทย
ที่มา ผู้จัดการ