ภาคธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทยในรูปแบบของ “โมเดิร์นเทรด” ในปัจจุบันต้องแข่งขันกับการเติบโตของตลาดอีคอมเมืร์สของผู้ประกอบการต่างประเทศที่เข่ามาดิสรัปตลาดค้าปลีกเมืองไทย โดยเฉพาะผู้เล่นดอจิทัลระดับโลกหลายรายจดทะเบียนบริษัทในต่างประเทศ เข้ามายึดส่วนแบ่งตลาดไฮเปอร์มาร์ท ไปสู่การค้าออนไลน์ ซึ่งนอกจากได้ข้อมูลผู้บริโภคไทยออกไปต่างประเทศแล้ว กระบวนการด้านภาษี ยังเก็บได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย นอกจากนี้ไฮเปอร์มาร์ขนาดใหญ่หากอยู่ในมือผู้ประกอบการต่างประเทศทำให้เมื่อมีกำไรก็จะปันผลกลับไปในประเทศอีกฤษ การกลับมาอยู่เมืองไทย จะทำให้กลยุทธ์เปลี่ยนจากการได้กำไรสูงสุดเพื่อการปันผล มาเป็นการลงทุนเพื่อการเติบโต ทำให้ช่องทางหารขายของพ่อค้าแม่ค้าในประเทศไทย มีโอกาสมากขึ้น
หนึ่งในทิศทางที่น่าสนใจคือคาดว่าในปลายปีนี้ตลาดไฮเปอร์มาร์เก็ตของประเทศไทยจะยิ่งส่งสัญญาณบวกคึกคักมากขึ้น หลังจากเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือซีพี ได้ทุ่มเงิน 239,953 ล้านบาท ประมูลชนะซื้อเทสโก้โลตัสในประเทศไทยและมาเลเซีย จากกลุ่มเทสโก้ ประเทศอังกฤษ กลับมาเป็นธุรกิจสัญชาติไทย เนื่องจากเดิมเป็นธุรกิจที่ซีพีก่อตั้งในชื่อ “โลตัส ซูเปอร์เซ็นเตอร์” (Lotus Supercenter) ที่ดำเนินการตั้งแต่ พ.ศ.2537 โดยหลังจากบรรลุข้อตกลงขายกิจการแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า หรือ กขค. ว่าจะเข้าข่ายการผูกขาดหรือการเป็นผู้ประกอบธุรกิจ ซึ่งมีอำนาจเหนือตลาด ตามพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 หรือไม่ ซึ่งอยู่ในขั้นตอนพิจารณาขณะนี้
โดย ประธานธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือซีพี ได้วางบทบาทของไฮเปอร์มาร์เก็ตอย่างโลตัสจะเข้ามาช่วยขยายภาคธุรกิจค้าปลีกของประเทศไทยในฐานะช่องทางจำหน่ายสินค้าที่จะเป็นตัวช่วยให้เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ กระตุ้นการบริโภคภายในที่จำเป็นมากในยุคหลังสถานการณ์โควิด-19 ที่ภาคธุรกิจส่งออก-ท่องเที่ยว-การลงทุนจากต่างประเทศต่างได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันนี้แนวทางของซีพีที่จะดำเนินธุรกิจของโลตัสต่อไปจะเป็นไฮเปอร์มาร์เก็ตที่เป็นช่องทางขยายตลาดโอท๊อป SME และขยายส่งสินค้าไปในต่างประเทศ โดยมีกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจที่ควบคู่กับชุมชนและสังคมไทยอย่างยั่งยืน ทั้งยังช่วยกระตุ้นการจ้างแรงงานและสร้างงานในระบบเพิ่มขึ้น ธุรกิจเอสเอ็มอี-ภาคเกษตร มีตลาดหรือช่องทางจำหน่ายสินค้าที่ทั่วถึง ทั้งหมดเป็นสิ่งสำคัญตามปรัชญา 3 ประโยชน์ ของซีพีที่ยึดมั่นมาตลอด 99 ปี ของการดำเนินธุรกิจที่ต้องคำนึงถึงประเทศชาติและประชาชนต้องมาก่อน ตามมาด้วยประโยชน์ขององค์กรเป็นลำดับสุดท้าย
ทั้งนี้ รศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร คณบดีคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า จากรายงานดัชนีความสามารถทางการแข่งขันระดับโลก (Global Competitiveness Index: GCI) โดยคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมมือกับ World Economic Forum (WEF) เพื่อวัดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ คือตลาด (Market) ซึ่งแบ่งเป็นสองส่วนคือ ตลาดสินค้า และตลาดแรงงาน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้เกิดกระแสไหลเวียนในระบบเศรษฐกิจ โดยตลาดสินค้าคือการสนับสนุนให้มีการผลิตและพัฒนาสินค้า ส่งเสริมให้สินค้าเข้าถึงประชาชนทุกแห่ง รวมไปถึงการแข่งขันด้านราคาเพื่อประโยชน์แก่ผู้บริโภคขั้นสุดท้าย ส่วนตลาดแรงงานคือการส่งเสริมให้เกิดการจ้างงานกับประชาชนทุกพื้นที่ เพื่อให้ระบบเศรษฐกิจไหลเวียนอย่างต่อเนื่อง โดยสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ระบาดที่ผ่านมาทั่วโลก ทั้งภาครัฐและองค์กรเอกชนต่างพยายามสร้างให้เกิดแรงกระเพื่อมนี้ผ่านกลไกและเครื่องมือทางเศรษฐกิจมากมายในมิติของตลาดทั้งสองส่วนดังกล่าว
รศ.ดร.วิเลิศ กล่าวต่อว่า อีกหนึ่งตลาดหรือช่องทางจำหน่ายสินค้าที่จะเป็นตัวช่วยเกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจในยุคนี้ได้คือตลาดไฮเปอร์มาร์เก็ต ที่สนับสนุนทั้งตลาดสินค้า โดยการรวบรวม คัดสรรค์ ตรวจสอบคุณภาพสินค้าทุกประเภท พร้อมทั้งช่วยเหลือผู้ผลิตอาหาร เกษตรกร และผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า เสื้อผ้า และอื่นๆ อีกมากมายในการมีช่องทางจัดจำหน่ายที่มีระบบมาตราฐานสากล ให้ถึงมือผู้บริโภคในทุกพื้นที่ของประเทศในราคาที่เหมาะสม อีกทั้งยังสนับสนุนให้เกิดการสร้างอาชีพและสร้างรายได้ในตลาดแรงงานทั่วประเทศอย่างชัดเจน
“หากจะเปรียบบทบาทของไฮเปอร์มาร์เก็ตกับอวัยวะในร่างกายของคนเรา ก็อาจจะพูดได้ว่าไฮเปอร์มาร์เก็ตเปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ที่คอยกระจายเลือดและสารอาหารสู่อวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายเรา และยังทำหน้าที่คอยสนับสนุนกระดูกสันหลัง ที่จะว่าไปแล้วก็หมายความถึงอาชีพที่เป็นเสาหลักของของประเทศ นั่นก็คือเกษตรกร ชาวไร่ชาวนา ซึ่งอาจรวมไปถึงผู้ผลิตสินค้าไม่ว่าจะขนาดเล็กหรือใหญ่ ให้สามารถกระจายสินค้าไปยังส่วนต่างๆ ของประเทศได้ รวมไปถึงการจ้างงาน ส่งเสริมให้คนประกอบอาชีพ สร้างรายได้ให้แก่ครอบครัว ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของคนในประเทศดีขึ้น หากเรามองเห็นว่าเส้นเลือดใหญ่ของประเทศที่ว่านี้มีความสำคัญเพียงใดต่อระบบเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของคนในประเทศเราเองแล้ว เส้นเลือดใหญ่นี้เองกลับมีชาวต่างชาติเป็นเจ้าของเสียอย่างนั้น และเป็นต้นเหตุสำคัญทำให้เลือดที่นำพาสารอาหารไหลออกนอกร่างกายของเราไป จะดีกว่าหรือไม่ที่เส้นเลือดใหญ่ของประเทศไทยเราจะกลับมาเป็นเราเอง”รศ.ดร.วิเลิศกล่าว
ที่มา:สำนักข่าวอิศรา