กระทรวงการคลังเปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในเดือน ก.ย. 2566 ได้แรงส่งจากการส่งออกสินค้าที่พลิกบวกตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 และภาคการท่องเที่ยว ขณะเดียวกันอัตราเงินเฟ้อยังปรับตัวลดลงต่อเนื่อง แต่ในระยะต่อไปยังต้องติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่อาจกระทบต่อเศรษฐกิจไทย
พรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนก.ย. 2566 ว่า เศรษฐกิจไทยได้รับปัจจัยหนุนส่วนใหญ่จาก
- การส่งออกสินค้าที่ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2
โดยเดือน ก.ย. 66 นี้มูลค่าการส่งออกสินค้า (ในรูปดอลลาร์สหรัฐ) อยู่ที่ 25,476.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 2.1% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่ตัวเลขมูลค่าการส่งออกสินค้าที่ไม่รวมน้ำมันและสินค้าที่เกี่ยวเนื่อง ทองคำ และยุทธปัจจัย เพิ่มขึ้นที่ 1.0% ส่วนหนึ่งมาจากการขยายตัวของสินค้าในหมวดหม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ (46.4%), อุปกรณ์กึ่งตัวนำฯ (28.8%), เครื่องโทรศัพท์อุปกรณ์และส่วนประกอบ (23.9%), รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ (3.3%) นอกจากนี้ สินค้าในหมวดผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้ง เช่น ข้าว, ผักกระป๋องและผักแปรรูป, และน้ำตาลทราย
ทั้งนี้ ตลาดคู่ค้าหลักของไทย เช่น ฮ่องกง จีน อินเดีย และอาเซียน (5) ปรับตัวดีขึ้น แต่ตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น ยูโรโซน ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อน
2. ภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวต่อเนื่อง
โดยภาคบริการด้านการท่องเที่ยว ในเดือน ก.ย. 2566 มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยรวม 2.13 ล้านคน เพิ่มขึ้น 69.2% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ และเพิ่มขึ้น 1.0% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากมาเลเซีย, จีน, อินเดีย, เกาหลีใต้, และสิงคโปร์ เช่นเดียวกับการท่องเที่ยวภายในประเทศที่มีผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย ในเดือน ก.ย. 2566 อยู่ที่ 19.5 ล้านคน ขยายตัว 15.9% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่ลดลง- 10.3% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล
อย่างไรก็ตาม เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชน ในเดือน ก.ย. 2566 มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยการบริโภคในหมวดสินค้าคงทน พบว่า
- ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่งเพิ่มขึ้น 10.2% จากช่วงเดียวกันปีก่อน
- ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 58.7 จากระดับ 56.9 ในเดือนก่อน ซึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 มองว่าวามเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่อภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น
- รายได้เกษตรกรที่แท้จริง เพิ่มขึ้น 3.5% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคาคงที่ ลดลง 5.0% จากช่วงเดียวกันปีก่อน (แต่เพิ่มขึ้น 4.8% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล)
ปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ลดลง 4.4% จากช่วงเดียวกันปีก่อน (แต่เพิ่มขึ้น 1.4% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล)
ทั้งนี้ เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน ในเดือน ก.ย. 2566 มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน
- หมวดเครื่องมือเครื่องจักร ปริมาณนำเข้าสินค้าทุน เพิ่มขึ้น 4.9% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่ลดลง 2.0% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่
- ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ ลดลง 28.2% จากช่วงเดียวกันปีก่อน
- การลงทุนในหมวดการก่อสร้าง สะท้อนจากปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ภายในประเทศ เพิ่มขึ้น 4.0% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่ลดลง -2.0% เทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล
- ภาษีธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ลดลง 1.6% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 0.5% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล
อย่างไรก็ตามเครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทานเดือน ก.ย. 2566 มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนจากภาคเกษตร และภาคบริการ
- ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรกรรม เพิ่มขึ้น 2.0% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้น 1.6% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล จากการขยายตัวของผลผลิตในหมวดปศุสัตว์ โดยเฉพาะสุกร ไก่เนื้อ และหมวดไม้ผล
สำหรับภาคอุตสาหกรรม สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ในเดือน ก.ย. 2566 ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 90.0 จากระดับ 91.3 ในเดือนก่อนหน้า เนื่องจากมีความกังวลว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัว
เสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนก.ย. 2566 อยู่ที่ 0.30% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 0.63% ส่วนสัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือน ส.ค. 2566 อยู่ที่ 61.8% ต่อ GDP ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งไว้ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 สำหรับเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับที่มั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนก.ย. 2566 อยู่ในระดับสูงที่ 211,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
อย่างไรก็ตาม แม้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวขึ้นในช่วงที่ผ่านมา แต่ยังคงต้องติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในด้านต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง
ที่มา – กระทรวงการคลัง