ซิตี้แบงก์ มองศก.ไทยปี 66 ทยอยฟื้นตัวเชิงบวก คาดอัตราเงินเฟ้อผ่านจุดสูงสุดแล้ว

น.ส.นลิน ฉัตรโชติธรรม นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย กล่าวถึงมุมมองต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยว่า ในปี 2566 เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มดีขึ้นเล็กน้อย ซึ่งซิตี้แบงก์ มองว่า GDP ของไทยจะอยู่ที่ราว 4.3% เทียบกับการคาดการณ์ของ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ที่คาดว่าจะอยู่ 3.8% เป็นไปตามการเติบโตของ GDP ในปี 65 ที่อยู่ราว 3.2% โดยที่ ธปท. ยังคงมองว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามธนาคารกลางสหรัฐฯ

อย่างไรก็ดี ซิตี้แบงก์ยังคงคาดการณ์ว่าจะมีการปรับดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งถัดๆ ไป พร้อมมีมุมมองว่าวัฎจักรนี้จะกินระยะเวลาพอสมควร จนกว่าดอกเบี้ยนโยบายจะไปแตะที่ 2.25% ในช่วงไตรมาสที่ 3/66 สืบเนื่องมาจากการที่ ธปท. มีความมั่นใจว่าเศรษฐกิจน่าจะฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถทยอยปรับนโยบายการเงินให้กลับสู่ภาวะปกติต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นใจว่าการคาดการณ์เงินเฟ้อจะยังคงอยู่ในเกณฑ์

นอกจากนี้ ธปท. ได้คาดการณ์ GDP ปี 66 ล่าสุดอยู่ที่ 3.8% สอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาด แต่น้อยกว่าการคาดการณ์ของซิตี้แบงก์ที่ 4.3% โดยส่วนหนึ่งมาจากการประมาณการด้านการท่องเที่ยวที่อาจจะแตกต่างกัน โดยช่วงปลายเดือนกันยายน ธปท. คาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวปี 2565 น่าจะอยู่ราว 21 ล้านคน แต่ซิตี้แบงก์คาดการณ์ไว้ที่ 23 ล้านคน

อย่างไรก็ดี ธปท. ได้ตั้งข้อสังเกตว่า อัตราการค้นหาข้อมูลที่พักอาศัยล่วงหน้า 3 เดือน และจำนวนเที่ยวบินมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นข้อบ่งชี้ในเชิงบวกสำหรับภาคการท่องเที่ยวของไทย นอกจากนี้ ซิตี้แบงก์มองว่าสถานการณ์การทยอยลดความเข้มงวดของมาตรการ Zero-Covid ในจีน อาจทำให้นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ในปีหน้าได้เช่นกัน อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยที่เป็นข้อกังวลของการคาดการณ์การเติบโตในปี 66 เช่น การปรับลดการใช้จ่ายภาคการคลังหลังโควิด และการเติบโตที่ช้าลงของภาคการส่งออก

พร้อมกันนี้ ธปท. ยังคงมองว่าเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง ยังไม่ได้หยั่งรากฝังลึกในระบบเศรษฐกิจไทย โดยย้ำว่าสภาวะของเงินเฟ้อในประเทศไทยนั้นแตกต่างไปจากเศรษฐกิจพัฒนาแล้ว โดยยังคงมาจากการปรับขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์เป็นหลัก อัตราเงินเฟ้อทั่วไปน่าจะผ่านระดับสูงสุดไปแล้วในไตรมาสที่ 3 และคาดว่าจะกลับสู่เป้าหมายในช่วงกลางปี 66

อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอาจจะยังทรงตัวอยู่ในระดับที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวในปี 2565 และ 2566 จากการทยอยส่งผ่านต้นทุนของผู้ผลิต ทั้งนี้ หากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลกปรับลงมากกว่าที่คาด อาจมีความเสี่ยงขาลงในการคาดการณ์เงินเฟ้อครั้งนี้

ขณะที่ สศค. มีความคิดเห็นสอดคล้องไปกับมุมมองของ ธปท. เรื่องการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย จากการกลับมาของนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ในขณะที่สถานการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมา ไม่ได้ส่งกระทบกับภาคอุตสาหกรรมเป็นวงกว้าง ซึ่งไม่น่าจะส่งผลกับการคลังและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ สศค.คาดว่าการเติบโตของ GDP ในปี 65 จะอยู่ที่ 3.4% และในปี 2566 อยู่ที่ 3.8% ตามลำดับ นอกจากนี้ ยังมองว่าอาจไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายระดับสูงในช่วงปีหน้าอีกด้วย

ด้านสำนักบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) คาดว่าเงินทุนที่ต้องระดมต่อปีในช่วงระยะปานกลาง จะยังคงสูงต่อเนื่องอยู่ที่ราว 2.2 ล้านล้านบาท คิดเป็นเกือบสองเท่าของปี 62 (ก่อนโควิด) เนื่องด้วยต้องใช้เวลาอีกระยะกว่าเศรษฐกิจจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม ในขณะที่การระดมเงินทุนสำหรับปี 66 อยู่ที่ราว 2.216 ล้านล้านบาท ซึ่งน้อยกว่าในปี 64 เพราะความต้องการของเงินชดเชยช่วงโควิดลดลงตั้งแต่ 65

ทำให้ในภาพรวม แม้ว่าจะมีความท้าทายของสภาพการเงินทั่วโลกที่มีการตึงตัว แต่สภาพคล่องของการเงินในประเทศยังคงอยู่ในระดับดี สามารถรองรับแผนการกู้ของ สบน.ได้ ซึ่งในปี 66 ยังคงมีการหาแหล่งทุนที่หลากหลายเพื่อบริหารต้นทุน รวมถึงรักษาระดับความเสี่ยงของหนี้สาธารณะและคงระดับหนี้ที่เป็นสกุลเงินต่างประเทศในระดับต่ำต่อไป

 

ที่มา สำนักข่าวอินโฟเควสท์