หมา และ แมว กลายเป็นหนึ่งในสัตว์เลี้ยงประจำครอบครัวมากขึ้น และบางบ้านดูแลเอาใจใส่เสมือนเป็นลูกหลานในครอบครัว และหันมาซื้ออาหารสัตว์เลี้ยงบรรจุถุงและกระป๋องให้แทนอาหารที่คลุกเองจากคุณค่าสารอาหารที่เหมาะกับสัตว์เลี้ยงมากกว่า
จากข้อมูลของสมาคมอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์สัตว์เลี้ยงไทย พบว่าในปีที่ผ่านมาครอบครัวในประเทศไทยเลี้ยงสัตว์เลี้ยงมากถึง 75% เมื่อเทียบกับครอบครัวทั้งหมดในประเทศ เป็นอันดับสองในเอเชีย รองจากอินโดนีเซีย
ที่มาพร้อมกับการเติบโตของจำนวนสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มสูงขึ้น
จากปี 2560 13.2 ตัว
ปี 2561 13.7 ล้านตัว
ปี 2563 14.5 ล้านตัว
ข้อมูลปี 2560-2561 อ้างอิงจากโรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ และปี 2563 อ้างอิงจากสมาคมอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์สัตว์เลี้ยงไทย
จำนวนสัตว์เลี้ยงในปี 2563 ที่อัปเดตล่าสุดจาก สมาคมอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์สัตว์เลี้ยงไทย แบ่งเป็น
หมา 8.9 ล้านตัว
แมวที่ 3.3 ล้านตัว
สัตว์เลี้ยงขนาดเล็ก และอื่น ๆ 2.3 ล้านตัว
และเชื่อว่าในปีนี้สัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะหมาและแมว มีจำนวนเพิ่มขึ้น จากปริมาณของอาหารที่จำหน่ายในท้องตลาด
เพราะในปี 2561 ข้อมูลจาก CPFGS อ้างอิงจาก GlobalData พบว่า
มูลค่าอาหารหมา
มีมูลค่า 24,800 ล้านบาท
ปริมาณ 346 ล้านกิโลกรัม
อาหารแมว
มูลค่า 7,100 ล้านบาท
ปริมาณ 76 ล้านกิโลกรัม
ปี 2563
อาหารหมา
มูลค่า 29,300 ล้านบาท
ปริมาณ 385 ล้านกิโลกรัม
อาหารแมว
มูลค่า 8,500 ล้านบาท
ปริมาณ 84 ล้านกิโลกรัม
คาดการณ์ปี 2566
อาหารหมา
มูลค่า 36,600 ล้านบาท
ปริมาณ 436 ล้านกิโลกรัม
อาหารแมว
มูลค่า 10,700 ล้านบาท
ปริมาณ 94 ล้านกิโลกรัม
ซึ่งการแข่งขันในธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะอาหาร หมา และแมว มีเจ้าตลาดหลักอยู่ 3-4 ราย
เช่น บริษัท มาร์ส เพ็ทแคร์ (ประเทศไทย) จำกัด เจ้าของแบรนด์ Pedigree, Whiskas, IAMS, Royal Canin, Cesar, Sheba และ Temptations
บริษัท เพอร์เฟค คอมพาเนียน กรุ๊ป จำกัด เจ้าของแบรนด์อาหารหมา แมว Smart Heart, A Pro, Luv Care และ Me-O
บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด เจ้าของแบรนด์ Purina One, Pro Plan, Felix, Alpo, Friskies, Super Coat และ Fancy Feast เป็นต้น
ที่มา Marketeer