ไทยขึ้นอันดับหนึ่ง ส่งออก “ถุงมือยาง” ไปสหรัฐฯ ภายใต้สิทธิ GSP

กรมการค้าต่างประเทศ เผยตัวเลขการสิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ระบบ GSP เดือนม.ค.-ก.พ. 67 มีมูลค่ารวมที่ 480.78 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 56.92% โดยมีการใช้สิทธิฯ ส่งออกไปยังสหรัฐฯ สูงที่สุด มีมูลค่า 444.69 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนการใช้สิทธิฯ 62.17% โดย “ถุงมือยาง” เป็นสินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกสูงที่สุด ส่งออกไปยังสหรัฐฯ เดือนม.ค.-ก.พ. 67 เพิ่มขึ้น 30%

นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยสถิติการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าสำหรับการส่งออกภายใต้ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป หรือ GSP ช่วงเดือนม.ค.-ก.พ. 67 ที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ รวม 480.78 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 56.92% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของสินค้าที่ได้รับสิทธิฯ

ส่วนประเทศปลายทางที่ไทยมีการส่งออกไปโดยใช้สิทธิ GSP มากที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง คือ สหรัฐฯ โดยมีมูลค่าการใช้สิทธิฯ อยู่ที่ 444.69 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 62.17% ของสินค้าที่ได้รับสิทธิฯ

โดยสินค้าที่มีมูลค่าส่งออกไปยังสหรัฐฯ ภายใต้สิทธิ GSP 5 อันดับแรก คือ

  • ถุงมือยาง
  • อาหารปรุงแต่ง
  • พลาสติกปูพื้นทำด้วยโพลิเมอร์ของไวนิลคลอไรด์
  • หีบเดินทางขนาดใหญ่หรือกระเป๋าใส่เสื้อผ้า
  • กรดมะนาวหรือกรดซิทริก

สำหรับสินค้าถุงมือยางเป็นสินค้าที่ไทยใช้สิทธิ GSP เพื่อส่งออกไปยังสหรัฐฯ ในอันดับต้นๆ มาโดยตลอด และจากการติดตามสถิติพบว่า มูลค่าการส่งออกที่ใช้สิทธิฯ เดือนม.ค.-ก.พ. 67 ถุงมือยาง ได้ขยับขึ้นมาเป็นสินค้าส่งออกอันดับหนึ่ง ภายใต้ GSP โดยมีมูลค่าการส่งออกที่ใช้สิทธิ GSP 22.61 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าถึง 30% ซึ่งไทยถือเป็นแหล่งนำเข้าสินค้าถุงมือยางที่สำคัญของสหรัฐฯ

ในปี 66 สหรัฐฯ นำเข้าถุงมือยางจากทั่วโลกมูลค่าประมาณ 590 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยในเดือนม.ค. – ก.พ. 67 ถุงมือยางของไทยมีมูลค่าการนำเข้าอยู่ในอันดับที่สองที่ 32.76 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รองจากมาเลเซีย (44.57 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) จีน (9.27 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) อินโดนีเซีย (5.79 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และศรีลังกา (4.71 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ตามลำดับ

นายรณรงค์ กล่าวว่า ปัจจุบันไทยได้รับสิทธิ GSP จาก 4 ประเทศ/กลุ่มประเทศ นอกจากสหรัฐฯ แล้ว ผู้ส่งออกไทยสามารถใช้สิทธิ GSP เพื่อส่งออกไปยังสวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ และกลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช (CIS) ซึ่งประกอบด้วย ยูเครน อาเซอร์ไบจาน ทาจิกิสถาน มอลโดวา อุซเบกิสถาน จอร์เจีย และเติร์กเมนิสถาน อีกด้วย

สำหรับโครงการ GSP ของสวิตเซอร์แลนด์ ในช่วงเดือนม.ค.-ก.พ. 67 มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ เป็นอันดับสอง อยู่ที่ 32.91 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับสาม โครงการ GSP ของนอร์เวย์ มูลค่า 2.28 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และอันดับสุดท้ายเป็นโครงการ GSP ของกลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช (CIS) มูลค่า 0.91 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสินค้าที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูง อาทิ เพชรพลอยรูปพรรณ (สวิตเซอร์แลนด์) สูทของสตรีหรือเด็กหญิงทำด้วยขนแกะ (นอร์เวย์) และสับปะรดกระป๋อง (CIS) เป็นต้น

กรมการค้าต่างประเทศ ชวนให้ผู้ประกอบการและผู้ส่งออกไทยใช้สิทธิพิเศษ GSP เพราะจะทำให้มีแต้มต่อทางการค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โครงการ GSP ของสหรัฐฯ ที่หากใช้สิทธิ GSP สินค้าจะได้รับยกเว้นภาษีนำเข้าตลาดสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้สินค้าไทยได้เปรียบในการแข่งขันด้านราคากับสินค้านำเข้าจากประเทศอื่น ๆ มากขึ้น

นอกจากนี้ ไทยยังอยู่ระหว่างการเจรจาความตกลงการค้าเสรีระหว่างไทยกับสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป หรือ EFTA (ประกอบด้วยสมาชิก 4 ประเทศ คือ สวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ และลิกเตนสไตน์) ที่จะมาทดแทนโครงการ GSP ของสวิตเซอร์แลนด์และนอร์เวย์ ซึ่งจะถือเป็นโอกาสสำหรับการส่งออกของไทยที่จะได้รับสิทธิในการลดหรือยกเว้นภาษีนำเข้าได้อย่างถาวร แตกต่างจากโครงการสิทธิพิเศษ GSP ที่เป็นการให้สิทธิพิเศษฝ่ายเดียว ประเทศผู้ให้สิทธิฯ จึงสามารถยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการให้สิทธิฯ ได้ตามนโยบายของแต่ละประเทศ

ที่มา สำนักข่าวอินโฟเควสท์