ตลาด EV ไทย มีโอกาสโตสุดในภูมิภาค เพราะฐานผลิตแข็งแรง – สภาพอากาศเอื้อ

EV

ปี 2023 เป็นปีทองของตลาดรถยนต์ EV ไทย เพราะยอดขายเติบโตมากกว่า 600% จากฐานอันน้อยนิดกลายมาเป็น EV กว่าแสนคันที่วิ่งอยู่บนท้องถนนไทย

แต่จำนวนกว่าแสนคัน คิดเป็นแค่ 12% ของรถยนต์ที่นั่งส่วนบุคคลในไทยเท่านั้น แล้วเท่าไรจึงจะเป็นเป้าหมายของการปักหมุดผู้ใช้ EV ในประเทศไทย

Brand Inside สรุปประเด็นจากเวที ‘EGAT EV: The Journey to Business Solutions’ ที่ ‘ผู้อยู่เบื้องหลังโครงการ’ และ ‘คุณคิม ชัชวาลย์ วัฒนะโชติ’ เจ้าของเพจ ‘Kim Property Live’ มาเล่าให้ทุกคนอ่านกัน

จากข้อมูลโดย ‘Rho Motion’ ภายในปี 2030 ประเทศผู้นำหลายๆ แห่งตั้งเป้าที่จะปรับสัดส่วนผู้ใช้งานรถยนต์ EV ต่อผู้ใช้งานรถธรรมดาไว้ดังนี้

  • สหรัฐอเมริกาและแคนาดา 41%
  • จีน 60%
  • สหภาพยุโรป 64%

เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว คำถามคือ ‘ประเทศไทย’ อยู่ตรงไหนของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า?

ฐานผลิตรถยนต์ดั้งเดิม-อากาศร้อน เพิ่มโอกาส EV ไทย

อย่างที่หลายๆ คนทราบดีว่าไทยเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องการผลิตยานยนต์ เพราะพวกเราติด 1 ใน 10 อันดับของประเทศที่ผลิตรถยนต์มากที่สุดในโลก โดยเราผลิตรถยนต์ไปกว่า 1.88 ล้านคันในปี 2022 และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 18% ต่อปี

ยิ่งไปกว่านั้น ประเทศไทยเป็นอันดับ 1 ด้านการผลิตยานยนต์ในหมู่ประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากข้อมูลในงาน ‘EGAT EV: The Journey to Business Solutions’ 50% ของรถยนต์และ 58.9% ของมอเตอร์ไซค์ทั่วอาเซียนถูกผลิตในไทย

ที่สำคัญ ด้วยสภาพอากาศของไทยที่เป็นเมืองร้อน การนำพลังงานแสงอาทิตย์มาเปลี่ยนเป็นไฟฟ้าจึงเป็นเรื่องที่เราทำได้ดี สูสีไม่แพ้ประเทศผู้นำอื่นๆ โดยทางรัฐบาลไทยก็ได้ปรับแผนให้กำลังการผลิตโซลาร์เซลล์เกิน 18,000 ล้านวัตต์ภายในปี 2036 เพิ่มจากปี 2023 ที่มีเพียง 3,186 ล้านวัตต์

ดังนั้น คุณคิม ชัชวาลย์ วัฒนะโชติ มองว่า “จากฐานผลิตที่แข็งแรงและลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่เอื้อต่อการปรับใช้พลังงานสะอาด ประเทศไทยจึงมีโอกาสเติบโตมากในตลาดรถยนต์ EV และดูเป็นไปได้มากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”

สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน มองว่าจำนวนสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศจะเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด โดยคาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 30,000 แห่งภายในปี 2035

การมาของตลาด EV จะให้อะไรกับเรา?

แน่นอนว่าเมื่อประเทศไทยได้ครองส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ไฟฟ้า คนที่จะได้ผลประโยชน์ก็คงจะเป็นบรรดาผู้ผลิตและเจ้าของสถานีชาร์จตามจังหวัดต่างๆ

อย่างไรก็ตาม หากเรามองให้กว้างกว่านี้ การมาของตลาดรถยนต์ EV อาจให้อะไรมากกว่าที่คิด

  1. ส่งเสริมอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้าคันหนึ่งต้องใช้ชิ้นส่วนมากกว่า 3,000 ชิ้น ดังนั้น หากมีโรงงานผลิตมาตั้งในไทย อุตสาหกรรมส่วนนี้ก็จะเติบโตตามไปด้วย
  2. พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า เช่น หากร้านอาหารแห่งหนึ่งมีจุดชาร์จสำหรับรถยนต์ EV ด้วย ก็มีแนวโน้มว่าเจ้าของรถอาจเข้ามาใช้บริการร้านอาหารระหว่างรอการชาร์จแบต
  3. ส่งเสริมธุรกิจซอฟต์แวร์ เพราะในอนาคตรถยนต์ไฟฟ้าจะเปรียบเสมือนมือถือที่วิ่งได้ อาจมีการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ เช่น การไลฟ์สดโดยมีกล้องที่คมชัดไม่แพ้โทรศัพท์
  4. ส่งเสริมอุตสาหกรรมแบตเตอรีและระบบกักเก็บพลังงานอื่นๆ เนื่องจากของพวกนี้ไม่ได้มีประโยชน์แค่กับรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น แต่สามารถนำมาใช้ภายในครัวเรือนได้ด้วย
  5. ลดขยะและเสริมรายได้ เพราะแร่หลายๆ อย่างในแบตเตอรีรถยนต์ EV สามารถนำกลับมาใช้งานใหม่ นอกจากจะเป็นการลดขยะแล้ว ยังสามารถนำไปขายในราคาที่แพงกว่าขยะกล่องลังอีก

ที่มา Brand Inside