สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจการเกษตรไตรมาส 2/66 (เม.ย.-มิ.ย.) พบว่าขยายตัว 0.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 65 โดยสาขาปศุสัตว์ สาขาประมง สาขาบริการทางการเกษตร และสาขาป่าไม้ ขยายตัวเพิ่มขึ้น
ขณะที่สาขาพืช ซึ่งเป็นสาขาการผลิตหลักและมีสัดส่วนมากที่สุดของภาคเกษตรหดตัวลง เนื่องจากปริมาณฝนและปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำและแหล่งน้ำตามธรรมชาติน้อยกว่าปีที่ผ่านมา ไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของพืช อีกทั้งยังมีสภาพอากาศที่แปรปรวนในช่วงปลายปี 65 ถึงช่วงต้นปี 66 ทำให้พื้นที่ทางภาคตะวันออกมีฝนตกชุกต่อเนื่องสลับกับมีลมพายุ ส่งผลให้สินค้ากลุ่มผลไม้ ดอก และผลร่วงหล่นเสียหาย ขณะที่พื้นที่ทางภาคใต้มีฝนน้อยและสภาพอากาศร้อน ส่งผลให้สินค้าปาล์มน้ำมันและยางพารามีผลผลิตลดลง เมื่อพิจารณาเป็นรายสาขา พบว่า
1. สาขาพืช ในไตรมาส 2/66 หดตัว 1.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 65
สินค้าพืชที่มีผลผลิตลดลง ได้แก่
– มันสำปะหลัง เนื่องจากในช่วงเดือนก.ย. 65 เนื้อที่ปลูกในภาคเหนือตอนบนและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีฝนตกหนักและประสบอุทกภัย ทำให้หัวมันสำปะหลังในบางพื้นที่ ประกอบกับปริมาณฝนที่ลดลงตั้งแต่ช่วงต้นปีจนถึงเดือนพ.ค. 66 ทำให้ผลผลิตต่อไร่ลดลง
– อ้อยโรงงาน สับปะรดโรงงาน และยางพาราปาล์มน้ำมัน ผลผลิตลดลง เนื่องจากปริมาณฝนน้อยและสภาพอากาศร้อน ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมาปุ๋ยเคมีมีราคาสูง เกษตรกรจึงลดปริมาณการใส่ปุ๋ยทำให้ผลผลิตไม่สมบูรณ์ และมีปริมาณผลผลิตลดลง
– ทุเรียน ผลผลิตลดลง เนื่องจากพื้นที่ปลูกทุเรียนทางภาคตะวันออก ได้รับผลกระทบจากฝนที่ตกชุกต่อเนื่องสลับกับมีลมหนาวในช่วงปลายปี 65 ส่งผลให้ทุเรียนไม่สามารถพัฒนาเป็นระยะติดผลได้ ประกอบกับลมพายุในช่วงเดือนธ.ค. 65-ม.ค. 66 ทำให้ดอกและใบร่วง ผลทุเรียนจึงไม่สมบูรณ์ มีขนาดเล็ก น้ำหนักน้อย และสภาพอากาศที่แปรปรวนยังทำให้ทุเรียนในภาคใต้ให้ผลผลิตช้ากว่าปีที่ผ่านมา
– มังคุด และเงาะ ผลผลิตลดลง เนื่องจากเกษตรกรโค่นต้นมังคุดและเงาะเพื่อไปปลูกทุเรียนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า ประกอบกับปลายปี 65 ถึงต้นปี 66 มีลมพายุทำให้ดอกและผลมังคุดบางส่วนร่วงหล่น และสภาพอากาศที่ร้อนจัดส่งผลต่อการติดผลและการเติบโตของผลเงาะ
สินค้าพืชที่มีผลผลิตเพิ่มขึ้น ได้แก่
– ข้าวนาปรัง ผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากในช่วงฤดูฝนปี 65 มีฝนตกชุกจากสภาวะลานีญาและในเดือนก.ย. 65 มีพายุโนรูเข้าประเทศไทย ทำให้น้ำในอ่างเก็บน้ำและแหล่งน้ำตามธรรมชาติมีเพียงพอสำหรับการเพาะปลูกข้าวนาปรัง ประกอบกับเกษตรกรบางส่วนปลูกชดเชยข้าวนาปีที่เสียหายจากน้ำท่วม โดยขยายเนื้อที่เพาะปลูกเพิ่มขึ้นในพื้นที่นาที่เคยปล่อยว่าง
– ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่สูงขึ้น จูงใจให้เกษตรกรขยายพื้นที่เพาะปลูกและมีการดูแลรักษาดีขึ้น
– ลำไย ผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากเกษตรกรผลิตลำไยคุณภาพนอกฤดูเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในแหล่งผลิตสำคัญทางภาคเหนือ และราคาลำไยที่ปรับตัวสูงขึ้นยังจูงใจให้เกษตรกรบำรุงดูแลรักษาดีขึ้น รวมถึงไม่มีโรคและแมลงระบาด ทำให้มีผลผลิตลำไยนอกฤดูมากขึ้น
ส่วนข้าวนาปี มีผลผลิตทรงตัว เนื่องจากราคาอยู่ในเกณฑ์ดี จึงจูงใจให้เกษตรกรยังคงดูแลรักษาผลผลิตอย่างต่อเนื่อง แต่ในช่วงการเพาะปลูกเกิดภาวะฝนทิ้งช่วง ทำให้ผลผลิตบางส่วนได้รับความเสียหาย ส่งผลให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นไม่มากนัก
2. สาขาปศุสัตว์ ขยายตัว 3.2%
สินค้าปศุสัตว์ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ได้แก่
– สุกร ผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรมีการบริหารจัดการฟาร์มที่ดี ประกอบกับมีการขยายการผลิตเพื่อรองรับความต้องการบริโภคที่เพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
– ไก่เนื้อ ผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการขยายการผลิตเพื่อรองรับความต้องการบริโภคในประเทศที่มีมากขึ้น และการส่งออกที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากความเชื่อมั่นในสินค้าไก่เนื้อที่ได้มาตรฐานของไทย
– ไข่ไก่ ผลผลิตเพิ่มขึ้น จากการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการบริโภคภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น ตามการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและบริการ
สินค้าปศุสัตว์ที่มีผลผลิตลดลง ได้แก่
– น้ำนมดิบ เนื่องจากจำนวนแม่โคให้นมลดลง ประกอบกับต้นทุนการเลี้ยงที่สูงขึ้น ทำให้เกษตรกรปรับลดปริมาณการให้อาหารข้นที่มีราคาสูงและเกษตรกรบางรายเลิกเลี้ยง ส่งผลให้มีปริมาณน้ำนมลดลง
3. สาขาประมง ขยายตัว 5.7%
สินค้าประมงที่มีผลผลิตเพิ่มขึ้น ได้แก่
– กุ้งขาวแวนนาไม เนื่องจากเกษตรกรมีการบริหารจัดการฟาร์มที่ดี ส่งผลให้มีอัตราการรอดดี ประกอบกับเกษตรกรเร่งจับกุ้งเพื่อลดความเสียหายจากสภาพอากาศร้อนสลับกับฝนตก ส่งผลให้มีผลผลิตออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สินค้าประมงที่มีผลผลิตลดลง ได้แก่
– สัตว์น้ำที่นำขึ้นท่าเทียบเรือ ปริมาณลดลง เนื่องจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งเป็นต้นทุนการผลิตหลักปรับตัวสูงขึ้น ประกอบกับสภาพอากาศที่มีลมแรง ส่งผลให้ผู้ประกอบการประมงออกเรือจับสัตว์น้ำลดลง
– ปลานิล และปลาดุก ผลผลิตลดลง เนื่องจากแหล่งผลิตสำคัญในภาคกลางมีสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย และปริมาณน้ำในพื้นที่เพาะเลี้ยงมีน้อย ประกอบกับต้นทุนอาหารสัตว์ยังคงอยู่ในระดับสูง ทำให้เกษตรกรชะลอการปล่อยลูกพันธุ์ปลาและลดรอบการเลี้ยง
4. สาขาบริการทางการเกษตร ขยายตัว 2.0% เนื่องจากในปีที่ผ่านมาเกษตรกรขยายเนื้อที่เพาะปลูก โดยกิจกรรมการจ้างบริการเตรียมดินเพิ่มขึ้นในพื้นที่ปลูกพืชสำคัญ ได้แก่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์รุ่น 1 (ปีเพาะปลูก 2566/67) และกิจกรรมการเก็บเกี่ยวผลผลิตเพิ่มขึ้นในพื้นที่พืชสำคัญ ได้แก่ ข้าวนาปรัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์รุ่น 2 (ปีเพาะปลูก 2565/66) ส่งผลให้ภาพรวมในสาขาบริการทางเกษตรมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น
5. สาขาป่าไม้ ขยายตัว 2.2%
– ไม้ยูคาลิปตัส เพิ่มขึ้นตามความต้องการของอุตสาหกรรมการผลิตเยื่อกระดาษภายในประเทศ และการส่งออกไปยังตลาดญี่ปุ่น จีน และลาวที่เพิ่มขึ้น
– ถ่านไม้ เพิ่มขึ้น ตามการขยายตัวของภาคบริการในประเทศ รวมถึงมีการส่งออกไปยังจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้เพิ่มขึ้น
– ครั่ง เพิ่มขึ้น จากการส่งเสริมการเลี้ยงของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง และยังเป็นที่ต้องการของตลาดอินเดีย
– ไม้ยางพารา ผลผลิตลดลง ตามพื้นที่ตัดโค่นสวนยางพาราเก่า และปลูกทดแทนด้วยยางพาราพันธุ์ดีหรือพืชเศรษฐกิจอื่น
– รังนก ลดลง เนื่องจากมีการส่งออกไปจีนลดลง
นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการ สศก. คาดว่าแนวโน้มเศรษฐกิจการเกษตรในปี 66 จะขยายตัวอยู่ในช่วง 1.5-2.5% เมื่อเทียบกับปี 65 ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนจากการดำเนินนโยบายและมาตรการของภาครัฐ อาทิ บริหารจัดการสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ยกระดับคุณภาพสินค้าเกษตรให้ได้มาตรฐาน เป็นที่ยอมรับและตอบโจทย์ผู้บริโภค แปรรูปเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตร และส่งเสริมให้เกษตรกรใช้เทคโนโลยีในการผลิต การขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ส่งผลให้มีความต้องการสินค้าเกษตรและอาหารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามเฝ้าระวัง ประกอบด้วย ความแปรปรวนของสภาพอากาศ ภาวะฝนทิ้งช่วงและแนวโน้มการเข้าสู่ปรากฏการณ์เอลนีโญในช่วงปลายปีที่จะทำให้เกิดภาวะแห้งแล้ง การระบาดของโรคและแมลง ที่ยังต้องติดตามต่อเนื่องทั้งสถานการณ์ในประเทศและต่างประเทศ ราคาปัจจัยการผลิตที่ทำให้ต้นทุนการผลิตและเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง ส่งผลต่อกำลังซื้อและการลงทุนของเกษตรกร และความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ ที่จะส่งผลให้เศรษฐกิจโลกอาจจะไม่ฟื้นตัวตามที่คาดการณ์ไว้
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์