World Economic Forum เผย แนวโน้มเศรษฐกิจโลกปี 2024 โตอย่างสดใส แต่เตือนระวังปัจจัยเสี่ยงทางการเมืองและภูมิรัฐศาสตร์

World Economic Forum จัดทำงานรายงาน Chief Economists Outlook ล่าสุดที่มีการเผยแพร่เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (29 พฤษภาคม) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงมุมมองแง่บวกต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2024 แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระมัดระวังมากขึ้นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลก โดยหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์มากกว่า 8 ใน 10 คนคาดหวังว่า เศรษฐกิจโลกจะแข็งแกร่งขึ้นหรือมีเสถียรภาพมากขึ้นในปีนี้ คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 2 เท่าของสัดส่วนที่ระบุไว้ในรายงานฉบับที่แล้ว และสัดส่วนของผู้ที่คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลงปีนี้ก็ลดลงเช่นกัน โดยลดลงจาก 56% ในเดือนมกราคม เป็น 17%

อย่างไรก็ตาม ด้วยความตึงเครียดทางการเมืองทั้งในประเทศและระหว่างประเทศพบว่า ผู้ตอบแบบสำรวจประมาณ 97% คาดการณ์ว่า ภูมิศาสตร์การเมืองจะส่งผลต่อความผันผวนของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ อีก 83% กล่าวว่า การเมืองภายในประเทศจะเป็นที่มาของความผันผวนในปี 2024 ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งปีที่ประชากรเกือบครึ่งหนึ่งของโลกต้องลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง

ซาเดีย ซาฮิดี กรรมการผู้จัดการของทาง World Economic Forum ชี้ให้เห็นถึงสัญญาณบ่งชี้ที่ต้องการการปรับปรุงในภาวะเศรษฐกิจโลกปัจจุบัน โดยย้ำว่า ขณะนี้มีความจำเป็นเร่งด่วนในการกำหนดนโยบายที่ไม่เพียงแต่มุ่งหวังที่จะฟื้นฟูกลไกของเศรษฐกิจโลกเท่านั้น แต่ยังพยายามที่จะวางรากฐานของการเติบโตที่ครอบคลุม ยั่งยืน และยืดหยุ่น มากขึ้น

ทั้งนี้ เมื่อมองในภาพรวมพบว่า ความคาดหวังในการเติบโตทั่วโลกดีขึ้นแม้ว่าจะไม่สม่ำเสมอก็ตาม โดยการสำรวจเผยให้เห็นแนวโน้มการเติบโตที่สำคัญของสหรัฐฯ และบรรดาหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์เกือบทั้งหมดคือ ราว 97% คาดว่าการเติบโตในระดับปานกลางถึงแข็งแกร่งในปีนี้เพิ่มขึ้นจาก 59% ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา

ด้านเศรษฐกิจในเอเชียก็มีความแข็งแกร่งเช่นกัน โดยผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมดคาดการณ์ว่า เอเชียจะมีการเติบโตในระดับปานกลางเป็นอย่างน้อย โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียใต้ เอเชียตะวันออก และภูมิภาคแปซิฟิก ขณะที่ความคาดหวังสำหรับจีน ยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจของภูมิภาค เป็นไปในแง่ดีน้อยลงเล็กน้อย โดย 3 ใน 4 คาดว่าจะเติบโตปานกลาง และมีเพียง 4% เท่านั้นที่คาดการณ์การเติบโตอย่างแข็งแกร่งในปีนี้

ในทางตรงกันข้าม แนวโน้มของยุโรปยังคงมืดมน โดยนักเศรษฐศาสตร์เกือบ 70% คาดการณ์การเติบโตที่อ่อนแอในช่วงที่เหลือของปี 2024 ขณะที่ภูมิภาคอื่นๆ คาดว่าจะมีการเติบโตปานกลางในวงกว้าง

รายงานยังระบุอีกว่า การสำรวจล่าสุดเน้นย้ำถึงความท้าทายที่ทวีความรุนแรงขึ้นที่ภาคธุรกิจและเหล่าผู้กำหนดนโยบายต้องเผชิญ โดย 86% มองว่า ความตึงเครียดระหว่างพลวัตทางการเมืองและเศรษฐกิจจะเป็นความท้าทายที่เพิ่มขึ้นสำหรับผู้มีอำนาจตัดสินใจในปีนี้ ขณะที่ 79% คาดว่าความซับซ้อนที่เพิ่มสูงขึ้นจะส่งผลต่อการตัดสินใจ

สำหรับปัจจัยที่คาดว่าจะส่งผลต่อการตัดสินใจขององค์กร ได้แก่ สุขภาพโดยรวมของเศรษฐกิจโลก พบว่า 86% คือนโยบายการเงิน ตลาดการเงิน และภูมิศาสตร์การเมือง 79% คือสภาวะตลาดแรงงาน และ 71% คือการเมืองภายในประเทศ

ขณะเดียวกันรายงานยังต้ังข้อสังเกตว่า 73% ของนักเศรษฐศาสตร์เชื่อว่า วัตถุประสงค์การเติบโตของบริษัทต่างๆ จะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการตัดสินใจ อาทิ บทบาทของบริษัทสำหรับเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม

ทั้งนี้ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่มีทัศนคติเชิงบวกเกี่ยวกับแนวโน้มการเติบโตทั่วโลกที่ฟื้นตัวอย่างยั่งยืน โดยเกือบ 70% คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะกลับมาเติบโตที่ 4% ในอีก 5 ปีข้างหน้า ในกลุ่มประเทศที่มีรายได้สูง พวกเขาคาดหวังว่าการเติบโตจะถูกขับเคลื่อนโดยการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงสีเขียวและพลังงาน

อย่างไรก็ตาม ความคิดเห็นเกี่ยวกับผลกระทบของปัจจัยเหล่านี้ในประเทศที่มีรายได้น้อยก็มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันไป แต่ก็มีความเห็นร่วมกันมากขึ้นเกี่ยวกับปัจจัยที่จะฉุดการเติบโต โดยภูมิศาสตร์การเมือง การเมืองภายในประเทศ ระดับหนี้ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการแบ่งขั้วทางสังคม ซึ่งทั้งหมดล้วนกระทบต่อการเติบโตทั้งในประเทศที่มีรายได้สูงและประเทศที่มีรายได้ต่ำไม่ต่างกัน

 

อ้างอิง: