นายปีเตอร์ นาเจล นักเศรษฐศาสตร์ระดับสูงและหนึ่งในผู้เขียนรายงานเรื่องแนวโน้มตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity Markets Outlook) ของธนาคารโลก เปิดเผยว่า สถานการณ์การสู้รบในยูเครนจะทำให้มีการปรับเพิ่มราคาสินค้าโภคภัณฑ์จนกระทั่งมีราคาแพงสูงที่สุดในรอบเกือบ 50 ปี จากเดิมราคาพลังงานยังอยู่ในระดับต่ำในช่วงเดือนเมษายน 2563 จนกระทั่งเดือนมีนาคมปีนี้ ราคาพลังงานถูกปรับเพิ่มสูงสุดในรอบ 23 เดือน อีกทั้งราคาน้ำมันดิบเพิ่มสูงสุดนับแต่ปี 2516 หรือช่วงที่สถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง เป็นเหตุให้กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน(โอเปก)ปรับเพิ่มราคาน้ำมันดิบ
ธนาคารโลก คาดว่า การสู้รบในยูเครนจะทำให้มีการปรับเพิ่มราคาสินค้าต่างๆ เช่น ก๊าซธรรมชาติ ข้าวสาลีและฝ้าย โดยเฉพาะราคาพลังงานเพิ่มกว่าร้อยละ 50 จะทำให้ครัวเรือนและธุรกิจทั่วโลกจ่ายค่าไฟฟ้าสูงขึ้น ขณะที่ราคาน้ำมันดิบจะยังคงสูงต่อเนื่องไปจนถึงปี 2567 โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาดกรุงลอนดอนจะสูงเฉลี่ย 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในปีนี้ และภาวะเงินเฟ้อจะสูงขึ้นในหลายประเทศ
การปรับขึ้นราคาที่มากที่สุดคือ ค่าก๊าซธรรมชาติในยุโรป จะมีการปรับราคาแพงขึ้นกว่าสองเท่า ซึ่งธนาคารโลกคาดว่าราคาพลังงานจะค่อยๆลดลงในปี 2566 และ 2567 แต่ระดับราคาพลังงานในภาพรวมจะยังคงสูงกว่าร้อยละ 15 เมื่อเทียบกับระดับราคาพลังงานในปีที่แล้ว
สำหรับสินค้าอื่นๆ ธนาคารโลก คาดว่า ราคาข้าวสาลีจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 42.7 ราคาข้าวบาร์เลย์จะสูงขึ้นร้อยละ 66.3 น้ำมันปรุงอาหารจะเพิ่มร้อยละ 29.8 และราคาเนื้อไก่จะเพิ่มร้อยละ 41.8 การที่ราคาสินค้าเหล่านี้เพิ่มขึ้นสะท้อนว่า การส่งออกจากยูเครนและรัสเซียลดลงจากเดิมมาก
นายนาเจล กล่าวว่า การปรับขึ้นราคาสินค้าต่างๆเริ่มกระทบต่อทุกครัวเรือนทั่วโลกทั้งในด้านเศรษฐกิจและด้านมนุษยธรรม ระบุว่า ในปัจจุบัน ทุกครัวเรือนทั่วโลกเริ่มรับรู้ผลกระทบจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น พร้อมแสดงความห่วงใยกลุ่มอ่อนแอ เช่น ชาวบ้านที่มีฐานะยากจนที่สุดของประเทศ ต้องใช้จ่ายมากขึ้นในการซื้ออาหารและพลังงาน
สำหรับรัสเซียผลิตน้ำมันดิบคิดเป็นร้อยละ 11 ของปริมาณน้ำมันดิบทั่วโลก ทั้งเป็นผู้จัดส่งก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบให้กับกลุ่มสหภาพยุโรป(อียู)ในอัตราร้อยละ 40 และร้อยละ 27 ตามลำดับ แต่รัฐบาลของหลายประเทศในยุโรปเริ่มปรับลดการพึ่งพาการนำเข้าพลังงานจากรัสเซีย ทำให้ความต้องการซื้อน้ำมันดิบจากแหล่งพลังงานอื่นๆของโลกเพิ่มขึ้น ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจึงขยับขึ้นเช่นกัน
ที่มา ศูนย์ข่าวแปซิฟิค